คสรท.ทวงถามนโยบายปรับขึ้นค่าจ้าง400-425 บาท

ทวงถามนโยบายแรงงาน -ปรับขึ้นค่าจ้าง400-425 บาท ด้านหม่อมเต่า แจงรอก่อนให้ปลัดหามติ มองปรับขึ้นได้คนส่วนใหญ่ต้องพึงพอใจ 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วยเครือข่าย องค์กรแรงงานจากกลุ่มต่างๆ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.แรงงาน) ถึงนโยบายด้านแรงงาน และข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากลที่ได้ยื่นไว้ตั้งแต่ปี 2560 ตามที่คณะจัดงานวันกรรมกรสากล 2562 ประกอบด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) ได้ยื่นหนังสือเพื่อติตามข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากล ปี 2560 ลงวันที่ 25 เมษายน 2560 ต่อฯพณฯนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

นายสมพร ขวัญเนตร ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ในการยื่นข้อเรียกร้องของคสรท.นั้นได้ยื่นมาทุกปี และยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งหมด 10 ข้อ ซึ่งข้อเรียกร้องที่จะเสนอต่อรัฐบาลในปีนี้ดังนี้

  1. รัฐต้องจัดให้มีรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่มีคุณภาพให้ประชาชนทุกคน ได้เข้าถึงอย่างเท่าเทียมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ทั้ง ด้านสาธารณสุข ประชาชนทุกคนเข้าถึงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงด้านการศึกษาตามความต้องการในทุกระดับ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน
  2. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยกำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าที่มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว อีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และต้องเท่ากันทั้งประเทศ รวมถึงกำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้าง และปรับค่าจ้างทุกปี
  3. รัฐต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง เพื่อสร้างหลักประกันในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา (ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 3 มาตรา 48)
  4. รัฐต้องปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพรัฐวิสาหกิจในการให้บริการที่ดี มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ดังนี้

– ยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ

– จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ

-ให้มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้และมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ

5. รัฐต้องยกเลิก นโยบายที่ว่าด้วยการลดสวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจและครอบครัว

6. รัฐต้องปฏิรูประบบประกันสังคม ดังนี้

  1. ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานสำนักงานประกันสังคม ให้เป็นอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม
  2. จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ในสัดส่วนที่เท่ากัน ระหว่างรัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง ตามหลักการของ พรบ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และนำส่งเงินสมทบที่รัฐบาลค้างจ่ายให้เต็มตามจำนวน
  3. เพิ่มสิทธิประโยชน์ ผู้ประกันตน มาตรา 40 ให้เท่ากับ มาตรา 33
  4. เพิ่มสิทธิประโยชน์ ชราภาพ 50 เปอร์เซ็นต์ ของเงินเดือนสุดท้าย

5.ให้สำนักงานประกันสังคมประกาศใช้ อนุบัญญัติทั้ง 17 ฉบับที่ออกตาม พรบ.ประกันสังคม ฉบับแก้ไข พ.ศ. 2558

  1. ขยายกรอบเวลาการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในกองทุนเงินทดแทน จนสิ้นสุดการรักษาตามคำวินิจฉัยของแพทย์
  2. รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เช่น การปิดกิจการ หรือยุบเลิกกิจการในทุกรูปแบบ (ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 5 มาตรา 53)
  3. รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุนโดยให้นายจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือเลิกกิจการไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากกองทุน รวมทั้งการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้ (กรณีศึกษา บริษัท บริติช-ไทยซินเทติค เท็กสไทล์ จำกัด)
  4. รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ์ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 อย่างจริงจัง ภายใต้การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน และยกเลิกการใช้แร่ใยหินในทุกรูปแบบ
  5. รัฐต้องจัดสรรเงินงบให้กับสถาบันความปลอดภัยฯ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัย ให้มีประสิทธิภาพ

โดย มีประเด็นเร่งด่วนให้รัฐมนตรีแรงงานดังนี้

ประเด็นประกันสังคม คือ

  1. รัฐต้องจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมชุดใหม่แทนชุดเก่าที่ลาออกเป็นกรณีเร่งด่วน โดยเลือกผ่านตัวแทนองค์กรผู้ประกันตน 50 คนต่อ 1 เสียง
  2. รัฐต้องปฏิรูประบบประกันสังคม ดังนี้

2.1 ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานสำนักงานประกันสังคม ให้เป็นอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม

2.2 จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ในสัดส่วนที่เท่ากัน ระหว่างรัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง ตามหลักการของ พรบ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และนำส่งเงินสมทบที่รัฐบาลค้างจ่ายให้เต็มตามจำนวน

2.3 ให้สำนักงานประกันสังคมประกาศใช้ อนุบัญญัติทั้งหมดที่ออกตาม พรบ.ประกันสังคม ฉบับแก้ไข พ.ศ. 2558

2.4 เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนดังนี้

  1. สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกันกับ มาตรา 33
  2. เพิ่มเงินสิทธิประโยชน์ กรณีชราภาพร้อยละ 50 ของเงินเดือนสุดท้ายการสิ้นสุดเป็นผู้ประกันตน
  3. ขยายกรอบระยะเวลาและเพดานการรักษาทั้งกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมจนสิ้นสุดการรักษาและให้ครอบคลุมการรักษาทุกโรค ยกเว้นเป็นการศัลยกรรมตกแต่ง
  4. เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรจาก 600 บาท เป็น 1,000 บาท และขยายอายุจาก 6 ปีเป็น 10 ปี
  5. กรณีส่งเงินสมทบครบ 15 ปีให้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลตลอดชีวิต
  6. กรณีการขยายเวลาสิ้นสุดการเกษียณอายุจาก 55 เป็น 60 ปี ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานผู้ประกันตนต้องได้รับเงินชราภาพตามสิทธิเดิม ส่วนสิทธิจาก 55 ถึง 60 ปี ให้เป็นภาคสมัครใจหรือเป็นไปตามทางเลือกที่ตกลงกัน
  7. การได้สิทธิตามพระราชบัญญัติประกันสังคมจะต้องไม่ตัดสิทธิตามกฎหมายอื่น

ประเด็นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ คือ

1.รัฐต้องดำเนินการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนเป็นกรณีเร่งด่วน

2.รัฐต้องดำเนินการควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพไม่ให้แพงเกินจริงสอดคล้องกับการปรับค่าจ้าง

3.รัฐต้องกำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้าง และปรับค่าจ้างทุกปี ตามสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นและครอบคลุมลูกจ้างทุกสาขาอาชีพ

ด้านม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 คน ก็ต้องยอมรับตามนโยบายโดยรวมที่นายกรัฐมนตรีแถลงเนื่องจากมีพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลถึง 19 พรรค มีหลายนโยบาย จึงไม่ใช่ว่าจะปรับขึ้นค่าจ้าง 425 บาท สิ่งที่ผู้ใช้แรงงานชูป้ายวันนี้ ซึ่งเป็นข้อเสนอของพรรคหนึ่ง(พรรคพลังประชารัฐ)ที่ถือว่าเป็นพรรคใหญ่ในรัฐบาล หากทำแล้วคนงานทั้งหมดได้ หรือคนงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก 2.8 แสนเป็น  8 แสนคน ของเรา เพราะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจาก 2.8 ล้านคนเพิ่มเป็น 3.8 ล้านคน เพราะนายจ้างไม่ยอมปรับขึ้นค่าจ้างให้มากว่านั้นอีก 2 ปีต่อมาจำนวนแรงงานข้ามชาติลดเลือก 2.8 ล้านคน  จึงคิดว่าหากมีการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่ผู้ใช้แรงงานมาชูป้ายทวง 425 บาท นั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงมหาศาลอาจมีคนตกงานจำนวนมาก และคนที่ไม่มีทักษะก็จะลำบาก คงต้องพยายามหาความพอดีพอเหมาะ แต่อย่างไรก็คงต้องขึ้นอยู่กับทางปลัดที่ลงมติ ส่งมาให้รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเพื่อลงความเห็นชอบประกาศซึ่งในฐานะพรรคเล็กก็ต้องดูความพึงพอใจของประชาชนส่วนใหญ่พอใจและอธิบายได้