ขบวนผู้หญิง-เกษตรกร-คนสลัม-Sex Worker-คนชายขอบ รวมพลังปกป้องสิทธิในดินน้ำอากาศ จี้รัฐและทุน ยุติเหมือง-เมกะโปรเจกต์ ในวันสิ่งแวดล้อมโลก ผืนดินของประเทศไทยเป็นของทุกคน “เราต้องเป็นหนึ่งในผู้รักษา ไม่ใช่ผู้ทำลาย” จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กล่าวปราศรัย
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา นักกิจกรรมหลากหลายกลุ่มและพื้นที่ในประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์และจัดการชุมนุมเรียกร้องในประเด็นสิ่งแวดล้อมเนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งเป็นวันสำคัญนานาชาติที่ได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติ (United Nations) นับแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา ทั้งนี้ในปัจจุบัน วิกฤติโลกรวนยังคงทวีคูณความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนในประเทศไทย ทั้งในด้านเกษตรกรรม ปศุสัตว์ แรงงานและสุขภาพ
ขบวนการประชาชนคัดค้านทุนและรัฐจ่อระเบิดเหมืองโปแตชเพิ่มในภาคอีสาน แถลงว่า กลุ่มผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา จัดกิจกรรมขบวนประท้วง “หยุดเหมืองโปแตชอีสาน หยุดหายนะโลก” โดยเริ่มจากวัดสระขี้ตุ่น ต.หนองบัวตะเกียด และเคลื่อนขบวนไปยังที่ว่าการอำเภอด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
“ในขบวนมีการแสดงสัญลักษณ์ผลกระทบจากการทำเหมือง ได้แก่ รถพุ่มพวงที่บรรทุกขวดน้ำเค็ม ถุงเกลือจากดินที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่โปแตชด่านขุนทด และ “รถระเบิดจำลอง” ที่สะท้อนอันตรายจากการเตรียมนำระเบิดมาขุดเจาะแร่โปแตชใต้ดินในพื้นที่ชุมชน ปล่อยป้ายผ้าบนสะพานลอย ปกป้องโลก หยุดระเบิด หยุดขูดรีดขุดเจาะ หยุดเหมืองโปแตช”
เพจเหมืองแร่โปแตชแอ่งโคราช รายงานเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา กล่าวถึงการรณรงค์กดดันไปยังหน่วยงานราชการท้องที่ ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ได้มีการชุมนุมปักหลัก “เราจะบล็อกก่อนบ้านจะบึ้ม” บริเวณเหมืองโปแตช บริษัทไทยคาลิ บ้านหนองไทร ระหว่างวันที่ 6–8 พ.ค. เพื่อคัดค้านการระเบิดเหมืองแร่โปแตชซึ่งทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำการรณรงค์อย่างต่อเนื่องอธิบายว่าจะเป็นการซ้ำเติมปัญหาดินเค็มจากการขุดเหมืองโปแตชครั้งก่อนและจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำบาดาล การเกษตร รวมไปถึงความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอีกด้วย โดยมีข้อเรียกร้องทั้งในด้านการชดเชยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการขุดเหมืองโปแตชโดยบริษัทไทยคาลิที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2562 (ข่าวบีบีซีไทย, 2567) รวมไปถึงการให้รัฐบาลไทยยุติการสนับสนุนการขุดเหมืองโปแตชเพิ่มเติมทั้งในกรณีนี้และกรณีอื่น ๆ ในภาคอีสาน
“ตอนนี้เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นระดับชาติไปแล้ว เพราะบางจากไม่สนที่จะทำธุรกิจสีเขียวที่ตัวเองสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาอีกต่อไป เนื่องจากไปจับมือกับกลุ่มจีนสีเทาในการทำเหมืองรอบสอง หนำซ้ำ และยังมีความเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย เพื่อประสานต่อยอดธุรกิจให้ตัวเองเติบโต โดยไม่เห็นหัวชาวบ้าน” นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ปราศรัย ณ ที่ชุมนุมค้านเหมืองโปแตชในวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา
“จากปัญหาความเค็มสู่มลพิษพลาสติก – หยุดเหมืองโปแตชอีสาน หยุดหายนะโลก”
ในวันที่ประชาคมโลกพร้อมใจกันยกระดับวิกฤตสิ่งแวดล้อมสู่การลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง โดยในปีนี้ได้หยิบยก ‘การยุติมลภาวะจากพลาสติกทั่วโลก’ ขึ้นเป็นวาระเร่งด่วนของโลก เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนเร่งลดการผลิตและใช้พลาสติกอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเป็นเวลาหลายทศวรรษที่มลพิษจากพลาสติกได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ซึมเข้าสู่แหล่งน้ำที่เราดื่ม เข้าสู่อาหารที่เรากิน และเข้าสู่ร่างกายของเรา ในระดับที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ขั้นวิกฤติ แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกลับเดินหน้าผลักดันให้เกิดการทำเหมืองแร่โปแตชขึ้นหลายแห่งบนผืนแผ่นดินอีสาน โดยมีรัฐและทุนผสมพันธุ์กันทำการเร่งรัดนโยบาย เพื่อหนุนหลังให้กลุ่มทุนผูกขาดและทุนข้ามชาติเข้ามายึดครองผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ซึ่งมี ‘เกลือ’ อยู่ใต้ดิน อันเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ‘พลาสติก’ ที่ทั่วโลกกำลังพยายามเลิกใช้อยู่ในขณะนี้
กระบวนการผลิตแร่โปแตชก่อให้เกิดเกลือจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่พลาสติกที่นำไปสู่หายนะระดับโลก ทั้งยังมาพร้อมกับผลกระทบมหาศาลที่เกิดขึ้นแล้วที่นี่ที่อำเภอด่านขุนทดบ้านของพวกเรา ซึ่งเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างรัฐไทย บริษัท ไทยคาลิ จำกัด บางจากและทุนข้ามชาติสีเทาจากประเทศจีน ที่มุ่งแสวงหากำไรจากทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น การผสมพันธุ์ของรัฐและทุนได้ทำให้เหมืองโปแตชแห่งนี้มีพฤติกรรมชักศึกเข้าบ้านด้วยการฟอกรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนบริษัทหนึ่งที่ไม่สามารถเข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยได้โดยตรงตามเงื่อนไขของกฎหมายไทยที่ใช้บังคับอยู่ จึงได้สร้างตัวแทนอำพราง หรือนอมินี ซึ่งเป็นประชาชนไทยสองคน ให้เข้ามาถือหุ้นในบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนดังกล่าว เพื่อทำให้รัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนดังกล่าวกลายเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่สามารถเข้ามาเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ในการขุดเจาะอุโมงค์ใหม่ด้วยการใช้ระเบิด นั้น กำลังร่วมกันสร้างหายนะไม่ว่าจะเป็นปัญหาดินเค็ม น้ำเค็ม การทำลายแหล่งน้ำสาธารณะ และอื่น ๆ หลายคนต้องสูญเสียแหล่งทำมาหากินจนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้กำลังบั่นทอนและทำลายจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ ในขณะที่ประชาคมโลกกำลังลดการใช้พลาสติก รัฐไทยกลับผลักดันเหมืองโปแตช-ต้นทางวัตถุดิบพลาสติก-โดยไร้จิตสำนึกความรับผิดชอบต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่พวกเราทำอยู่ในตอนนี้ คือ การลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินและสายน้ำ จากปัญหาความเค็มที่เกิดจากเหมืองแร่โปแตชที่ไหลลงสู่ลุ่มน้ำลำเชียงไกร ที่จะไหลต่อไปสู่แม่น้ำมูล และไหลลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดยั้งอยู่เพียงแค่ที่อำเภอด่านขุนทดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นมหันภัยที่คนอีสานจะต้องเผชิญร่วมกัน เฉกเช่นเดียวกับเพื่อนพี่น้องในพื้นที่อื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลของพี่น้องสมัชชาคนจน การหยุดยั้งเขื่อนแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนระบบนิเวศอย่างสิ้นเชิง หรือกรณีแม่น้ำกก สาย รวกและโขงที่กำลังปนเปื้อนมลพิษจากสารหนูและแคดเมียมจากการเหมืองทองคำ แรร์เอิร์ธและแร่อื่น ๆ ในรัฐฉานของประเทศพม่าซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มทุนจีนโดยปราศจากความรับผิดชอบ แม้จะเกิดปัญหาอย่างต่อเนื่องแต่รัฐบาลไทยกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา และไม่ดำเนินการเอาผิดผู้ก่อมลพิษอย่างจริงจัง
ดังนั้น ประชาชนในทุกพื้นที่จึงต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องและปกป้องผืนดิน ผืนนา ผืนป่า ผืนน้ำ ตลอดจนผืนฟ้าและอากาศที่เราหายใจ เพราะทั้งหมดนี้คือ ‘คุณภาพชีวิตที่ดี’ ที่เราทุกคนควรได้รับ เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา จึงมีข้อเรียกร้องดังนี้
1. รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองโปแตชของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ซึ่งมีบางจากเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในฐานะที่เป็นผู้ใช้อำนาจผ่านหน่วยงานราชการในการอนุมัติ/อนุญาตให้ก่อสร้างเหมืองแห่งนี้ และต้องสร้างหลักประกันด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนเพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอากาศสะอาด และมีแหล่งน้ำที่ปลอดจากมลพิษ
2. รัฐบาลไทยต้องหยุดหนุนหลัง เอื้อประโยชน์และยุติความร่วมมือให้ทุนผูกขาดและทุนข้ามชาติจากรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนที่กำลังขุดเจาะทำลายผืนแผ่นดิน สายน้ำและระบบนิเวศอย่างไร้ความรับผิดชอบจากการทำเหมืองโปแตชของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด
3. รัฐบาลไทยต้องยุตินโยบายการสำรวจและทำเหมืองโปแตชในภาคอีสานทั้งหมด ในส่วนของเหมืองโปแตชแห่งอื่นที่ได้ประทานบัตรแล้วต้องดำเนินการตรวจสอบการเข้ามาซื้อหุ้นของรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนอีกแห่งหนึ่งที่กำลังเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อครอบครองกิจการที่เหมืองโปแตชจังหวัดอุดรธานี และเอาผิดต่อผู้ก่อมลพิษและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ก่อให้เกิดผลกระทบ และเร่งฟื้นฟูดิน น้ำและแหล่งน้ำสาธารณะในพื้นที่การทำเหมืองโปแตชอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ อย่างจริงจัง ในส่วนของโครงการเหมืองแร่โปแตชอำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ให้ดำเนินการตรวจสอบเอาผิดพฤติกรรมการถือหุ้นอำพรางของรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนอีกแห่งหนึ่ง (ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเดียวกันที่กำลังเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อครอบครองกิจการที่เหมืองโปแตชจังหวัดอุดรธานี) ที่กำลังลักลอบเข้ามาขุดเจาะสำรวจแร่โปแตชในพื้นที่ถือครองของประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต
สุดท้ายนี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่รัฐต้องรับผิดชอบ และรัฐไทยต้องกล้ายอมรับว่า “ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ที่สุดคือรัฐที่ผสมพันธุ์กับทุน”
ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องหยุดอ้างการพัฒนาที่ต้องมี “ผู้เสียสละ”
ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องหยุดหนุนหลังและเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาดและทุนข้ามชาติเข้ามากอบโกยทรัพยากรธรรมชาติในบ้านของเรา
ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องหยุดอุตสาหกรรมขุดเจาะ หยุดเหมืองโปแตชอีสาน หยุดหายนะโลก
กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด
ณ ที่ว่าการอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
5 มิถุนายน 2568
ที่มา: เพจเหมืองแร่โปแตชแอ่งโคราช (https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid025y8DYDthic3zT62n1Wyoiq2vTKAnaucD8eTefHQZ1C4tU9ZejmucjYZJWFpUy2gyl&id=100078483113768 )
ทั้งนี้ยังมีประชาชนอีกหลายกลุ่มในพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยที่แม้จะไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา แต่ก็ได้ทำการอ่านและเผยแพร่แถลงการณ์เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับการชุมนุมค้านเหมืองโปแตชในวันสิ่งแวดล้อมโลกครั้งนี้ อาทิเช่น เครือข่ายสลัม 4 ภาค ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย และ กลุ่มพนักงานงานบริการ “มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์” (Empower Foundation) ซึ่งเคยได้ไปร่วมรณรงค์ล่าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ณ กับชุมนุมคัดค้านเหมืองโปแตชบริษัทไทยคาลิเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 68 ด้วย
พนักงานบริการ และขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย และ เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้แถลงอีกว่า
“จากหยดน้ำ ถึงระเบิดโปแตช และสารพิษในลุ่มน้ำกก—เราจะไม่ยอมให้ชีวิตถูกขายทอดในนามของการพัฒนา”
ในวาระวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้หยิบยกวิกฤต “พลาสติก” เป็นวาระระดับโลก เรา—ขบวนผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากคนจนเมือง เกษตรกร แรงงาน พนักงานบริการ ผู้ลี้ภัย ผู้หญิงในหมู่บ้านชายแดน ป่าชุมชน และพื้นที่ชายขอบใต้เงาอำนาจทุนไทยและข้ามชาติที่รวมหัวกันกอบโกยทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดและทิ้งสารพิษความเสียหายไว้กับผืนดิน แม่น้ำ อากาศ
เราขอส่งเสียงจากผืนดินของเราไปสู่เวทีโลกว่า วิกฤตสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยเป็น ระเบิดที่กำลังฝังอยู่ในดิน วิ่งผ่านสายไฟ และไหลลึกในแม่น้ำทุกสาย — ด้วยน้ำมือของทุนผูกขาดที่ปล้นทรัพยากรอย่างไร้ขอบเขตและความรับผิด มาตรการรับมือกับหายนะทางสิ่งแวดล้อมและโลกร้อนจะไม่มีวันเป็นจริงได้ หากยังแยกขาดออกจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรมเชิงโครงสร้าง เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษ แต่คือ ผู้หญิงและประชาชนตัวเล็กตัวน้อยที่มีทรัพยากรน้อยที่สุดในการรับมือ ทั้งที่ไม่เคยมีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อม พวกเรากลับต้องเผชิญกับมลพิษ ภัยพิบัติ ความไม่มั่นคงในชีวิต ที่อยู่อาศัย รายได้และที่ทำกิน เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้น และยังถูกผลักซ้ำให้เปราะบางยิ่งกว่าเดิม วิกฤตสภาพภูมิอากาศจึงไม่ใช่แค่ “ปัญหาโลก” หากแต่คือ “ปัญหาปากท้องและความอยู่รอด” ของผู้หญิงและคนจน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้ร่วมรณรงค์กับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ณ จังหวัดนครราชสีมา—หัวใจของภาคอีสานที่กำลังจะถูกเจาะด้วยระเบิดโปแตช ภายใต้การลงทุนของบริษัทบางจากและทุนจีน ที่จ้องขูดรีดทรัพยากรใต้ดินโดยไม่เคยถามว่า เสียงของผู้หญิง เสียงของชุมชน และเสียงของธรรมชาติและระบบนิเวศ—อยู่ตรงไหนในแผนที่ของกำไร
เราขอถามสังคมไทยและนานาชาติว่า:
จะเรียกว่า “พัฒนา” ได้อย่างไร หากต้องแลกกับชีวิตของคนจนและชุมชน?
จะเรียกว่า “สีเขียว” ได้อย่างไร หากมันคือสีที่ฉาบกลบการทำลาย?
จะเรียกว่า “นโยบายสิ่งแวดล้อม” ได้อย่างไร หากผู้หญิงและชนเผ่าพื้นเมืองที่ปกป้องผืนดิน ผืนป่าและแม่น้ำกลับถูกคุกคาม ฟ้องปิดปาก และถูกลบเลือนออกจากประวัติศาสตร์?
เราขอประกาศให้โลกรับรู้ว่า การปกป้องสิ่งแวดล้อมคืองานของผู้หญิงและคืองาน “การเมือง” ที่ปกป้องชีวิตของเราทุกคน เราไม่ใช่เพียงแม่ของลูก แต่คือแม่ของผืนป่า ผืนดิน แม่ของผืนนา แม่ของสายน้ำ ผู้หญิงคือผู้ดูแลโลกใบนี้—ที่กำลังถูกกลืนกินด้วยความโลภของอุตสาหกรรมที่ไร้หัวใจ วันนี้ มลพิษไม่ได้ไหลมาเป็นหย่อมๆ—แต่มันไหลรวมเป็นขบวนของความตาย แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง—สี่เส้นเลือดหลักของชีวิตในภาคเหนือและลุ่มน้ำโขง—กำลังปนเปื้อนสารโลหะหนัก ทั้งสารหนู แคดเมียม และสารพิษอันตรายที่ไหลมาจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ที่ทุนจีนเข้าไปลงทุนภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธในพม่า
นี่คือ อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ (Organized Environmental Crime) ที่รัฐไทยเพิกเฉย ปิดหู ปิดตา และปล่อยให้ประชาชนต้องใช้น้ำดื่ม น้ำกิน น้ำใช้ ที่ปนเปื้อนสารพิษโดยไม่มีใครรับผิดชอบ
เราถามรัฐไทยอีกครั้ง—จะปล่อยให้แม่น้ำทั้ง 4 สายกลายเป็นแม่น้ำแห่งความเงียบและความตายหรือไม่? ถ้าไม่แก้ที่ต้นทาง ประชาชนจะต้องสูญเสียอีกเท่าไรในการซ่อมซากของชีวิตที่ปลายทาง?
นโยบายสิ่งแวดล้อมของรัฐไทยยังสะท้อนถึง ความไร้วิสัยทัศน์ ล่าช้า และไม่เคยยอมรับว่า “ชีวิตของประชาชน” ควรเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ และวันนี้ เราขอประกาศจุดยืนที่ไม่อาจต่อรองได้:
🔻 สนับสนุนเต็มที่ต่อแคมเปญ “หยุดเติมน้ำมันบางจาก” ของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด
🔻 ต่อต้านอุตสาหกรรมเหมืองโปแตชที่พรากน้ำ ดิน ชีวิต ระบบนิเวศและศักดิ์ศรีของผู้คนในภาคอีสาน
🔻 เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ยุติการสมรู้ร่วมคิดกับทุนจีนและบรรษัทข้ามชาติ ที่กำลังทำลายผืนแผ่นดิน สายน้ำและระบบนิเวศอย่างบ้าคลั่ง
🔻 เรียกร้องให้รัฐ ยุติการใช้กฎหมายเป็นอาวุธ เล่นงานผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ และยอมรับว่างานดูแลโลกของเราคือ งานทางการเมือง ที่ต้องได้รับการคุ้มครอง สนับสนุนและจ่ายค่าตอบแทน (แคร์อินคัม) จากไมโครพลาสติกในร่างกายเรา ถึงฝุ่นแร่ในปอดของลูกเรา จากสารหนูในแม่น้ำกก ถึงเสียงระเบิดที่จ่อทำลายหัวใจของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด—เราขอประกาศว่า เราไม่ยอมจำนน!
เราเรียกร้องสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืน เพื่อปกป้องระบบนิเวศที่เอื้อต่อสุขภาพ ชีวิต และอนาคตของมนุษย์ เราเรียกร้องการพัฒนาที่เห็นคุณค่าของชีวิตประชาชน มิใช่เพียงผลกำไรของทุน พนักงานบริการมีทุกที่ ย้อนมองคนสนใจประเด็นทรัพยากรน้อยมากจนกว่าผลกระทบจะถึงหน้าบ้าน
ว่าแล้วก็ไปสนับสนุน แล้วโพสต์พร้อมแฮชแทก
#ไม่เติมน้ำมันบางจาก
#หยุดเหมืองโปแตชด่านขุนทด
#GreenwashingIsNotJustice
#พลังงานต้องเคารพสิทธิ
#สิทธิมนุษยชนต้องมาก่อนกำไร
ที่มา: เพจ Empower Foundation (https://www.facebook.com/empowerfoundation.cm/videos/1072905248226353), เพจเครือข่ายสลัม๔ภาค Four Regions Slum Network (https://www.facebook.com/thaifrsn/posts/pfbid0jyK7HRKxkoPgiZGiim7oGJmx9T3J7wWZ5JtfZssgreinTzsdjr8Z4mjC8thY1331l), เพจ The Story of แม่หญิงไฟ้ท์(https://www.facebook.com/WHRDPOWER/videos/886699410513323)
ต่อมา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เรื่อง: “วันสิ่งแวดล้อมโลก – สิทธิชุมชนต้องมาก่อนเมกะโปรเจกต์” ได้ออกแถลงการณ์ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) โดย ขอยืนยันเจตจำนงของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยทั่วประเทศว่า เราต้องการการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของสิ่งแวดล้อมที่ดีและสิทธิของชุมชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่การพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ของทุนขนาดใหญ่ไม่กี่กลุ่ม หากแต่เป็นการพัฒนาที่ต้องเคารพต่อสิทธิของประชาชน และไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นรากฐานของชีวิตชุมชน
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้างที่สะสมมาอย่างยาวนานและทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งมีรากเหง้ามาจากนโยบายและโครงการพัฒนาที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิทธิของชุมชนท้องถิ่น จากการสำรวจและติดตามของภาคประชาชน พบว่าในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ประชาชนต้องต่อสู้กับการสูญเสียทรัพยากร น้ำ ป่า ที่ดิน และแม่น้ำอันเป็นแหล่งยังชีพของตน ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุการณ์เฉพาะจุด หากแต่เป็นปรากฏการณ์เชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรของรัฐ อาทิ วิกฤตแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ที่พบสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ และชุมชนต้นน้ำ ปัญหาโยงถึงกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา แสดงถึงมลพิษข้ามพรมแดนที่ยังไร้มาตรการร่วมกันในการจัดการ SEC ภาคใต้ (Southern Economic Corridor) โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่คุกคามพื้นที่เกษตรและชายฝั่ง กดทับสิทธิชุมชนในนามของเศรษฐกิจพิเศษ โดยปราศจากการฟังเสียงประชาชนและการประเมินสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นธรรม เหมืองโปแตส ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ชุมชนในพื้นที่คัดค้านโครงการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาความเค็มของน้ำและดินที่ทำให้ไร่นาเสียหาย บ้านเรือนผุพัง และคุณภาพชีวิตของชาวบ้านลดลง ทำลายวิถีเกษตรกรรมและทรัพยากรของชุมชนดั้งเดิม
การผลักดันและสร้าง “เขื่อน” บนแม่น้ำสายหลัก ทั้งที่มีการสร้างและเสนอสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง เช่น เขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนหลวงพระบาง รวมถึงเขื่อนบ้านกุ่มและเขื่อนภูงอย โครงการเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปลาอพยพ และชุมชนริมฝั่งน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนพึ่งพาทรัพยากรน้ำเพื่อยังชีพมาอย่างยาวนาน การละเมิดสิทธิในพื้นที่ป่าชุมชนโดยนโยบายทวงคืนผืนป่าในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือจับกุมคนจนที่อาศัยป่าอย่างยั่งยืน ขณะที่ทุนใหญ่กลับได้รับสิทธิสัมปทานในป่าดังกล่าว
เมื่อพิจารณาจากปัญหาต่าง ๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าโครงสร้างนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมของไทยในปัจจุบัน ยังคงขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง และมักให้น้ำหนักกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเหนือความยั่งยืนของชีวิตผู้คนและทรัพยากรธรรมชาติ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) จึงขอเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
1.ยุติการผลักดันโครงการเขื่อนและโครงสร้างขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในแม่น้ำสายหลัก และทบทวนทุกโครงการที่ขาดความโปร่งใส ให้ประชาชนมีสิทธิกำหนดอนาคตลุ่มน้ำของตนเอง ผ่านกระบวนการที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีส่วนร่วม
2. ผลักดันกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องทรัพยากรข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง
3. หยุดละเมิดสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่า ที่ดิน และลุ่มน้ำ โดยเร่งผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ที่ดิน
4. สนับสนุนการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน ซึ่งเป็นรูปธรรมของการพัฒนาที่ยั่งยืนจากฐานราก
ในวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ เราขอย้ำว่า “สิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องต้นไม้ ที่ดิน ภูเขา แม่น้ำลำธาร แต่คือเรื่องชีวิตของคน” ความยั่งยืนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีความเป็นธรรมเป็นรากฐานของการพัฒนา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) จึงขอยืนหยัดเคียงข้างทุกการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ
ที่มา: เพจขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P-Move (https://www.facebook.com/Pmove2011/posts/pfbid0gAi422mDSqwk4Ngid1J8Mw5hDxGYjHXAAL4Z3CL1UCqZihPXYxgWEww2qZkfb3H7l )
รวบรวมโดย นักสื่อสารแรงงาน