วันที่ 7 ตุลาคม 2568 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) สมาพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (CILT) ได้ ร่วมกันแถลงการณ์ และยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล เนื่องใน “วันงานที่มีคุณค่าสากล ปี 2568” World Day for Decent Work : 2025 ณ สะพานชมัยมรุเชฐ ทำเนียบรัฐบาล ดังนี้
7 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันงานที่มีคุณค่า” (World Day for Decent Work) ซึ่งมีที่มาจากมติของการประชุมใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ครั้งที่ 87 พ.ศ. 2547โดยเชื่อว่างานที่มีคุณค่าจะยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานและส่งเสริมให้มีการพัฒนาแรงงานที่ยั่งยืน “งานที่มีคุณค่า” หมายถึง งานซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์
อันประกอบด้วย หลักการที่สำคัญ คือ 1.การมีโอกาสและรายได้ที่เพียงพอต่อการยังชีพ 2.การมีสิทธิในด้านต่าง ๆ ตามหลักการสิทธิมนุษยชน 3.การได้แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ 4.การได้รับการยอมรับในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 5.ความมั่นคงของครอบครัว 6.การได้พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีมีความมั่นคง 7.การได้รับความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ และ 8.ความเท่าเทียมทางเพศ
ประเทศไทยแม้จะเป็นหนึ่งใน 45 ประเทศสมาชิก ที่ร่วมก่อตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2462 แต่การให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับต่าง ๆ รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อมาตรการต่าง ๆ เพื่อการคุ้มครองคนงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีแทบจะไม่มีการพัฒนาการ ที่จะเป็นหลักประกัน แก่คนงาน ทำให้คนงานต้องเผชิญกับการถูกเอาเปรียบ ถูกขูดรีดจนแทบไม่มีหลักประกันใด ๆ หากนำเอาหลักการของอนุสัญญาฉบับต่าง ๆ และหลักการเรื่อง “งานที่คุณค่า” มาตรวจสอบ ก็จะพบได้ทันทีและต้องยอมรับว่าประเทศไทยแทบจะไม่พบความก้าวหน้าอันใดเลย ต่อการปฏิบัติตามมาตรการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เห็นได้จากความพยายามของคนงานในการก่อตั้งสหภาพแรงงานและการเจรจาต่อรอง ไม่ได้รับการคุ้มครองที่ดีพอ จนทำให้การเจรจาข้อเรียกร้องใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี และเมื่อตกลงกันแล้วนายจ้างก็ยังละเมิดต่อข้อตกลง และที่รุนแรง คือ การละเมิดต่อกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่ กลไกรัฐ กลับไม่ดำเนินการใด ๆ ปล่อยให้เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนงานกับนายจ้าง บางครั้งบางกรณี มีการข่มขู่คนงาน เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายนายจ้าง
อีกด้านหนึ่ง รูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไปจากการจ้างงานประจำ ระยะยาว มาเป็นการจ้างงานระยะสั้น แพร่กระจายไปทั้งหน่วยงาน สถานประกอบการ โรงงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน การลดจำนวนการจ้างแรงงานมนุษย์หันไปใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยีแทน ล้วนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงในการทำงาน คนจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้าง ตกงาน ว่างงาน ในขณะที่แรงงานนอกระบบ คนทำงานบ้าน แรงงานอิสระก็ยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่สามารถเข้าถึงหลักประกันทางสังคม อีกทั้ง ความความปลอดภัยในการทำงาน ความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และภัยพิบัติด้านต่าง ๆ เป็นความเสี่ยงที่ประชาชนต้องเผชิญในทุกวัน
สถานการการณ์จ้างงานยิ่งเลวร้ายขึ้นเมื่อรัฐบาลสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยอ้างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีบรรดานายทุนเทา ทุนสามานย์ ได้สร้างกระบวนการขูดรีด เอาเปรียบคนงาน เหยียบย่ำกฎหมายแรงงานและหลักการสิทธิแรงงานทางสากลอันเป็นสิทธิมนุษยชน ซ้ำยังทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า อากาศ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชน ชุมชน บางพื้นที่ ชุมชนต้องอพยพย้ายหนี นี่คือ ความผิดพลาดในการพัฒนาประเทศอย่างใหญ่หลวง
จากสถานการณ์ที่กล่าวมา ก่อให้เกิดความยากจน ประเทศไทยจึงถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำได้พุ่งทะยานสู่ลำดับที่สูงที่สุดในโลก การดำเนินชีวิตก็ยากลำบาก รัฐบาลนำเอากิจการของรัฐไปให้นายทุนที่เรียกว่า “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” ทุนผูกขาดที่มีอำนาจเหนือรัฐ ร่วมมือกับทุนข้ามชาติเข้ายึดครองกิจการของรัฐ ทำให้ผู้ใช้แรงงานและประชาชนต่างดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก ทรัพยากรของชาติทั้งใต้ผืนดิน บนดิน บนอากาศ บนอวกาศ ถูกกลุ่มทุนผูกขาดยึดกุมเกือบทั้งหมด มีการกล่าวกันว่า “ประชาชนวันนี้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้นายทุนเท่านั้น” คำกล่าวที่ว่านี้ เห็นเป็นจริงเด่นชัดขึ้นทุกวัน
ผู้ใช้แรงงานที่อยู่ในวัยทำงานในสาขาอาชีพต่าง ๆ มีจำนวนเกือบ 40 ล้านคน ถือว่า เป็นกลุ่มใหญ่ของสังคม ดังนั้น การสร้างหลักประกันให้แก่คนงาน การมุ่งมั่นต่อการสร้างภาวะแห่ง “งานที่มีคุณค่า” จึงมีความหมายและสำคัญยิ่ง เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาของคนกลุ่มใหญ่ได้ ก็ยากที่จะนำพาประเทศสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้ จึงขอให้รัฐบาล เร่งดำเนินการตามข้อเสนออย่างเร่งด่วนต่อไป และขอให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานร่วมตรวจสอบติดตามและผลักดันอย่างเป็นขบวนการต่อไป
ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของชนชั้นแรงงาน
ทั้งนี้ ขบวนการแรงงานยังมีข้อเสนอต่อรัฐบาล 9 ข้อดังนี้
- ให้รัฐบาลประกาศยกเลิกการจ้างงานที่ไม่มั่นคง การจ้างงานระยะสั้น เช่น เหมางาน เหมาค่าแรง การจ้างงานตามสัญญาจ้าง โดยวางนโยบาย ออกกฎหมาย ให้มีการจ้างงานมั่นคง จ้างงานระยะยาวจนถึงวันเกษียณ หรือวันที่ออกจากงาน มีหลักประกันเรื่องค่าจ้างและรายได้ รวมถึงหลักประกันทางสังคม เพื่อคุณภาพชีวิตและอนาคตที่ดีของคนงาน ครอบครัวและสังคม
- รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการที่เข้มข้น ในการกำกับ ควบคุม ลงโทษต่อทุนข้ามชาติที่มาลงทุน ในประเทศไทยแล้วไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ละเมิดสิทธิแรงงาน ทำลาย ยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน สาธารณูปโภค ทำลายสภาพแวดล้อมของประเทศ และควรเร่งทบทวนแก้ไข พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2561 ปกป้องรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรของประเทศ
- รัฐบาลต้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นธรรมเท่ากันทั้งประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ซึ่งราคาสิ่งของเครื่องใช้ สาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่มีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก กล่าวคือ “ข้าวของแพง แต่ ค่าแรงไม่ปรับ” กำหนดให้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างแรกเข้า และให้สถานประกอบการทุกแห่งจัดทำโครงสร้างค่าจ้างเพื่อเป็นหลักประกันให้แก่คนทำงาน “เฉพาะหน้าขอให้รัฐบาลปรับค่าจ้างในอัตรา 400 บาทเท่ากันทั้งประเทศ ”ตามที่ได้แถลงไว้ พร้อมกับควบคุมราคาสินค้า ไม่ให้มีราคาแพงอันจะเป็นภาระแก่ประชาชน
- ให้รัฐบาลเร่งรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ค.ศ. 1948 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ค.ศ.1949ว่าด้วยการเจรจาต่อรองร่วม เหตุเพราะอนุสัญญาทั้ง 2ฉบับ เป็นหลักการอันสำคัญให้แก่คนงาน ในการจัดตั้งองค์กรของตนเองเพราะสร้างอำนาจการต่อรองอันจะนำไปสู่การแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรม อันจะนำไปสู่การลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างหลักประกันในการทำงาน และคุณภาพชีวิตที่ดีของคนงาน
- รัฐบาลต้องยกเลิกการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ เช่น การจัดตั้งบริษัทลูก การให้สัมปทาน การให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจในกิจการพลังงาน การขนส่ง การสื่อสารโทรคมนาคม และกิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ โดยสนับสนุนส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือของรัฐ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง ในราคาที่เป็นธรรม และนำรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปแล้วกลับคืนมาเป็นของรัฐ มีรูปแบบการบริหารจัดการโดยรัฐ และให้มีการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพในการให้บริการที่ดี มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน
- ขอให้รัฐตรวจสอบการดำเนินการเพื่อหยุดการละเมิดสิทธิแรงงาน สหภาพแรงงานและทำลายระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดี รวมถึงสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ อาทิ กรณีการยางแห่งประเทศไทยโยกย้ายหน้าที่การงานประธานสหภาพแรงงานไม่ชอบด้วยกฎหมายและการสอบสวนกรรมการสหภาพแรงงาน รวมถึงการขัดขวางการมาดำเนินงานของสหภาพแรงงาน รวมถึงกรณีอื่นๆ อันมีลักษณะเช่นเดียวกันนี้
- รัฐบาลต้องตรวจสอบการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคม ให้มีความโปร่งใส และให้ตรวจสอบ เอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกรณีการขายหุ้นบริษัทบางจากปิโตรเลียมว่ามีการทุจริตเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน นักการเมืองหรือไม่ เพราะได้สร้างความเสียหายแก่กองทุนประกันสังคมอย่างมหาศาล
- ขอให้รัฐปรับบำนาญชราภาพของประกันสังคม ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ของค่าจ้างเดือนสุดท้าย เพราะจะเกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกันตน ในขณะที่สูตรต่าง ๆ ที่คิดคำนวณกันในปัจจุบัน และที่รับฟังความคิดเห็นกันห้วงเวลานี้ ล้วนมีค่าเฉลี่ยสูง เงินที่คำนวณออกมาผู้ประกันตนจะได้รับในอัตราที่ต่ำกว่าปัจจุบัน
- ขอให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 170 ว่าด้วยความปลอดภัยในการใช้สารเคมีในที่ทำงาน (Convention on Safety in the Use of Chemicals at Work, 1990) ซึ่งกำหนดหลักการและมาตรการในการบริหารจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัยในทุกขั้นตอนการทำงาน เพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของคนงานจากการสัมผัสสารเคมีอันตราย