คลินิกกฎหมายด้านแรงงาน (36) ข้อติดขัดในการพัฒนากฎหมายเพื่อการคุ้มครองแรงงานของประเทศไทย
ชฤทธิ์ มีสิทธิ์ ( 06- 2568)
ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า หลายปีมานี้เราจะพบเห็นรูปแบบการจ้างงานที่แปลกประหลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเรียกชื่อแปลก ๆ แตกต่างกันไป และแพร่ขยายไปในหลากหลายของธุรกิจและการประกอบอาชีพ เช่น งานฟรีแลนซ์ งานจ๊อบหรืองานโครงการ การจ้างงานแพลตฟอร์ม ( เช่น ไรเดอร์ งานบ้าน งานที่รับไปทำที่บ้าน) การจ้างเหมาและการจ้างเหมาช่วง การจ้างเหมาค่าแรง การจ้างเหมาบริการ การจ้างงานที่รับไปทำที่บ้าน ผู้ผลิตที่บ้าน ผู้ผลิตเพื่อขาย งานขายออนไลน์ การจ้างงานอิสระ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น
ถ้ามองย้อนหลังไปจะพบว่า การปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานของธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากและส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองแรงงานก็คือ ช่วงหลังที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤติต้มยำกุ้งช่วงปี 2540 โรงงานต่าง ๆ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงาน เช่น งานใดที่สามารถจ้างคนอื่นหรือบริษัทอื่นทำได้ก็จะจ้างงานที่เรียกว่าจ้างเหมาหรือจ้างเหมาช่วง ซึ่งเป็นการจ้างบริษัทอื่นให้ทำงานให้ มีทั้งที่ทำในสถานประกอบการของผู้จ้าง หรือไปทำที่บริษัทของผู้รับเหมาหรือผู้รับจ้าง ซึ่งถ้าบริษัทที่รับเหมางานมาทำได้จ้างบริษัทอื่นต่อไปอีกดังที่เรียกว่าการจ้างเหมาช่วง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีการกระจายงานกันเป็นทอด ๆหรือช่วงๆ หลายทอดหลายช่วง จนกระทั่งไปถึงชุมชนท้องถิ่นและตามบ้าน จนเกิดเป็นการจ้างงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน
อีกรูปแบบหนึ่งที่จ้างกันมากในช่วงหลังปี 2540 ก็คือการจ้างเหมาค่าแรง อันนี้เป็นกรณีสถานประกอบการจ้างบริษัทอื่นให้นำแรงงานซึ่งเป็นลูกจ้างของตนให้มาทำงานในไลน์การผลิตในสถานประกอบการ โดยวิธีคิดค่าจ้างแบบเหมาต่อหัวต่อเดือน และที่พิสดารยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือสถานประกอบการหรือโรงงานที่จ้างบริษัทรับเหมาค่าแรงจะทำสัญญาจ้างกับบริษัท รับเหมาค่าแรง โดยมีกำหนดระยะเวลาสั้น ๆ คราวละ 6 เดือน บ้าง 12 เดือนบ้าง
ส่วนอีกห้วงเวลาหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ้างงานอย่างมากอีกเช่นกัน เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลหรือยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเราจะพบว่ามีการพัฒนาระบบแพลตฟอร์มมาใช้กับการจ้างงานในหลายประเภท ที่ได้ยินกันคุ้นหูก็คือ งานขนส่งสินค้าและอาหาร ที่เรียกกันว่าไรเดอร์ งานขนส่งคนโดยสาร นอกจากนี้ยังพบว่า งานที่รับไปทำที่บ้าน งานบ้าน(บริการ อำนวยความสะดวก และดูแลจัดการงานบ้าน และสมาชิกในครอบครัว) งานขนส่งผู้คน และงานบริการขนส่งสินค้าและอาหาร ฝ่ายธุรกิจได้ใช้ระบบแพลตฟอร์มเข้ามาเกี่ยวข้องกับการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น
จากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานรูปแบบใด ลูกจ้าง ผู้รับจ้าง และแรงงานอิสระหรือแรงงานนอกระบบต่างประบบปัญหาในเรื่อง ไม่ได้รับสิทธิหรือการคุ้มครองตามกฎหมายที่เท่าเทียมกัน ถูกเอารัดเอาเปรียบ และต้องทำงานอย่างหนัก ขาดสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้น กลุ่มคนทำงานหลายกลุ่มรวมทั้งองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานขับเคลื่อนสิทธิของคนทำงาน จึงได้เคลื่อนไหวให้มีการจัดทำกฎหมายและนโยบายในการคุ้มครองคนทำงานเพื่อความเท่าเทียมกันอย่างคึกคัก เช่น
การขับเคลื่อนให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อขยายการคุ้มครองสิทธิการลาเพื่อการคลอดและเพื่อการเลี้ยงดูบุตรเป็นเวลา 180 วัน การแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวเพื่อให้การคุ้มครองลูกจ้างภาครัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกกันว่าการจ้างเหมาบริการในหน่วยงานภาครัฐ (ภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนสิทธิการลาคลอดหลายสิบองค์กร)
การขับเคลื่อนเพื่อให้ลูกจ้างทำงานบ้านได้รับสิทธิประกันสังคมตามมาตรา 33 เนื่องจากปัจจุบันแรงงานกลุ่มนี้ถูกกำหนดให้ใช้ช่องทางประกันสังคมตามมาตรา 40 (โฮมเนทและเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้าน)
อีกภาคส่วนหนึ่งที่ถือว่ามีการขับเคลื่อนอย่างจริงจังต่อเนื่องมานานหลายปีคือกลุ่มไรเดอร์หรืองานขนส่งสินค้าและอาหารที่อยู่ในระบบแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะภายหลังสถานการณืโควิด- 19 มีการเคลื่อนไหวมาก แต่ยังไม่มีความคืบหน้าของภาครัฐในการจัดทำกฎหมายและนโยบายที่คนทำงานพึงพอใจ (กลุ่มไรเดอร์ สหภาพไรเดอร์ สหภาพคนทำงาน และสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม)
ข้อเรียกร้องสำคัญและเป็นประเด็นร่วมกันของกลุ่มที่ขับเคลื่อนดังกล่าวก็คือ คนทำงานในสาขาอาชีพต่าง ๆ ก็คือผู้ใช้แรงงาน คือคนทำงานที่ควรต้องได้รับการคุ้มครองดูแลตามมาตรฐานแรงงานหรือสิทธิ ขั้นพื้นฐานของคนทำงานโดยเสมอภาคเท่าเทียม มีคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทำงานและความเป็นมนุษย์
กลุ่มที่ขับเคลื่อนสิทธิของไรเดอร์ที่มีการจ้างงานในระบบแพลตฟอร์ม ยืนยันว่า พวกเขาคือลูกจ้างเพราะมีการจ้างงาน มีการควบคุมการทำงานและมีการลงโทษ จึงเรียกร้องให้แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (สิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน) และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 (สิทธิขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองและให้ประโยชน์ทดแทนกรณีเจ็บป่วย ประสบอันตราย ทุพพลภาพ สูญหายและเสียชีวิต อันเนื่องจากหรือเกี่ยวกับการทำงานให้นายจ้าง) เพื่อให้การคุ้มครองไรเดอร์ (สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต และกลุ่มไรเดอร์ทั่วประเทศ)
องค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงานข้ามชาติและองค์กรชุมชนแรงงานข้ามชาติในพื้นที่อำเภอแม่สอด (มูลนิธิแมป มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาและภาคีเครือข่ายแรงงานข้ามชาติแม่สอด) ก็มี ข้อเรียกร้องทางนโยบายเพื่อให้มีการตรวจแรงงานอย่างจริงจัง เพื่อให้แรงงานข้ามชาติได้รับสิทธิตามกฎหมาย ได้รับสิทธิประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน มีเสรีภาพในการรวมตัว จัดตั้งองค์กรเพื่อการเรียกร้องและเจรจาต่อรองเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และมีการพัฒนาในระดับพื้นที่เพื่อให้มีคณะกรรมการร่วมทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันทางวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคมในการประสานความร่วมมือและแก้ไข ข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในพื้นที่ที่มีการจ้างแรงงานข้ามชาติหนาแน่น เช่น พื้นที่แม่สอด จังหวัดตาก
นอกจากนี้ ยังมีองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิพนักงานบริการ (มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการหรือสวิง) ได้ขับเคลื่อนสิทธิพนักงานบริการเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน งานบริการในที่นี้หมายถึงงานบริการตามกฎหมายสถานบริการ การประกอบการเพื่อสุขภาพ และงานตัดแต่งผมและงานเสริมความงาม เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานอาบอบนวด สถานเริงรมย์ต่าง ๆ สปา เป็นต้น) เนื่องจากยังมีคนทำงานที่เป็นลูกจ้างจำนวนมากยังไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่มีการขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม และไม่ได้รับสิทธิจากกองทุนเงินทดแทน จึงได้ขับเคลื่อนเพื่อให้มีการจัดทำกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อคุ้มครองพนักงานบริการดังที่กล่าวถึงขณะนี้อยู่ในช่วงการจัดเวทีในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการสถานบริการและคนทำงาน
ประเด็นที่จะพิจารณาต่อไปก็คือว่า เหตุใดการเรียกร้องและการขับเคลื่อนขององค์กรต่าง ๆดังกล่าวมานี้ จึงยังไม่บรรลุผลสำเร็จหรือยังมีความล่าช้าเกินควร น่าจะได้วิเคราะห์และทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อจะได้หามาตรการร่วมกันในการขับเคลื่อนต่อไป
ประการแรก รูปแบบการจ้างงานที่ฝ่ายธุรกิจได้พัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งนั้น ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือการทำงานที่มีทั้งนายจ้างกับลูกจ้าง (สัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งศาลฎีกาตีความว่า กรณีที่จะเป็นนายจ้างกับลูกจ้างตามกฎหมายนั้นต้องปรากฏว่า นายจ้างมีอำนาจสั่งการ ควบคุม บังคับบัญชาและลงโทษลูกจ้างได้ หากไม่มีข้อเท็จจริงดังกล่าวเท่ากับไม่เป็นนายจ้างกับลูกจ้าง) และผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง (จ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่มักจะเรียกกันว่าจ้างเหมา งานจ็อบ งานโครงการที่มีเวลาเริ้มต้นสิ้นสุด หรืองานฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นงานที่ต้องจบต้องเสร็จสิ้นและผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนเมื่อผลสำเร็จของงานเป็นไปตามที่ตกลงกัน ผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจควบคุมและลงโทษผู้รับจ้าง) รวมทั้งการทำงานหรืออาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบ
จะเห็นได้ว่างานต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นงานอุตสาหกรรม งานพาณิชยกรรม งานเกษตรกรรม และงานบริการ จะมีการจ้างงานที่ผสมปนเปกันทั้งสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ และสัญญารูปแบบอื่น ๆ มีการทำงานทั้งในสถานประกอบการ สถานบริการ หรือสถานที่ทำงานประจำ และการปฏิบัตินอกสถานที่ประจำ นอกจากนี้ การจ้างงานยืดหยุ่นถึงขนาดที่ว่า คนทำงานมีสิทธิทำงานมากกว่าหนึ่งแห่ง หรือมีนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างมากกว่า 1 ราย รูปแบบการจ้างงานเหล่านี้เกิดผลกระทบต่อการคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากในความสัมพันธ์ของการจ้างงานและการทำงานที่กล่าวมา กฎหมายแรงงานที่ใช้อยู่ให้การคุ้มครองแตกต่างกันรวมทั้งไม่ให้การคุ้มครอง
ประการที่สอง การที่ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานจำนวนหลายฉบับ แต่ละฉบับก็กำหนดการคุ้มครองแรงงานแยกเป็นสิทธิแรงงานแต่ละด้าน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายและการตีความกฎหมายมีการแยกสิทธิแยกส่วนเกิดสภาพกฎหมายตีกัน เช่น ศาลแรงงานตีความว่าลูกจ้างที่เรียกร้องค่าชดเชยและได้รับค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว ไม่มีสิทธิร้องครส. เรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เพื่อขอกลับเข้าทำงาน คงเรียกร้องแต่ค่าเสียหายอย่างเดียว เป็นต้น
แม้ว่ากฎหมายแรงงานแต่ละฉบับได้นิยามหรือให้ความหมายของนายจ้างกับลูกจ้างไว้ค่อนข้างกว้างพอสมควร น่าจะปรับใช้กับการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง แต่การตีความของศาลฎีกาและหน่วยงานภาครัฐด้านการปรับปรุงกฎหมายยังคงตีความว่า กฎหมายแรงงานทุกฉบับมีฐานที่มาจากฐานสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในการพิจารณาความสัมพันธ์แบบนายจ้างกับลูกจ้างนั้น จะต้องยึดหลักที่ว่านายจ้างมีอำนาจในการสั่งการ ควบคุมการทำงานและบังคับบัญชาลงโทษลูกจ้างได้ ลำพังผู้จ้างงานควบคุมการทำงานยังไม่พอต้องมีอำนาจลงโทษด้วย
ดังนั้น รูปแบบการจ้างงานที่พัฒนาไปหลายรูปแบบ จึงมีปัญหาทางกฎหมายว่า การจ้างงานแต่ละอย่างเป็นแบบนายจ้างกับลูกจ้างหรือไม่ และกระทรวงแรงงานยังคงยึดหลักว่า การจ้างงานรูปแบบใหม่ หากมีความสัมพันธ์ทางกฎหมายแบบนายจ้างกับลูกจ้าง กระทรวงแรงงานถือว่า ลูกจ้างดังกล่าวมีสิทธิและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน แต่หากทางกฎหมายไม่เป็นนายจ้างกับลูกจ้าง ก็จะต้องสร้างกฎหมายใหม่เพื่อบังคับใช้ ดังที่ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ พ.ศ. …. ที่แบ่งเป็นแรงงานอิสระหรือแรงงานนอกระบบที่เข้าใจกัน และจัดแรงงานในระบบแพลตฟอร์ม เช่น ไรเดอร์ ให้เป็นแรงงานกึ่งอิสระ คือมีคู่สัญญาในการจ้างงานระหว่างผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มกับไรเดอร์ ทั้ง ๆที่ในความคิดดั้งเดิมของกระทรวงแรงงานคือ การจัดทำกฎหมายเพื่อคุ้มครองดูแลแรงงานนอกระบบหรือแรงงานที่ไม่มีนายจ้างหรือไม่มีผู้จ้างงาน แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้จัดให้ไรเดอร์เป็นแรงงานนอกระบบประเภทแรงงานกึ่งอิสระในร่างกฎหมายและสิทธิการคุ้มครองแรงงานมีไม่มากและยังไม่ชัดเจน ซึ่งคนงานไรเดอร์ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วย
ในขณะที่หลายประเทศมีการจัดทำประมวลกฎหมายแรงงาน หรือมีกฎหมายแรงงานในภาพรวมมิได้แยกเป็นหลายฉบับดังที่ประเทศไทยทำ ซึ่งส่งผลดีต่อการบังคับใช้ การคุ้มครองแรงงานและการเข้าถึงสิทธิตามกฎหมายของลูกจ้างหรือคนทำงาน สำหรับประเทศไทยในราวปี 2558 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้จัดทำร่างประมวลกฎหมายแรงงาน พ.ศ. …. เพื่อวางรากฐานด้านสิทธิแรงงานที่ครอบคลุมในทุกด้าน และครอบคลุมคนทำงานทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ในการจ้างงานตามกฎหมายเป็นสัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ หรือสัญญาอื่นใด หมายความว่ารวมถึงแรงงานหรือคนทำงานที่มีนายจ้าง มีผู้ว่าจ้างหรือผู้จ้างงาน และผู้ที่ไม่มีนายจ้าง ไม่มีผู้ว่าจ้างหรือที่เรียกกันว่าแรงงานนอกระบบหรือแรงงานอิสระและร่างพระราชบัญญัติการบริหารแรงงาน พ.ศ. ….ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารแรงงานภาครัฐ ให้บรรลุเป้าหมายตามหลักการและเจตนารมณ์ของร่างประมวลกฎหมายแรงงาน คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้รับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนในระดับประเทศและได้เผยแพร่ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับแล้ว แต่หน่วยงานภาครัฐระดับนโยบายมิได้รับแนวคิดและแนวทางการจัดทำกฎหมายเพื่อคุ้มครองแรงงานดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการจนถึงปัจจุบันนี้
ประการที่สาม จากบทเรียนและประสบการณ์ขององค์กรภาคประชาสังคมที่ได้ขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานโดยเท่าเทียมกัน พบว่าข้อจำกัดสำคัญในการจัดทำหรือพัฒนากฎหมายเพื่อการคุ้มครองแรงงาน เป็นเรื่องแนวคิดและแนวนโยบายของรัฐ กล่าวคือ
กรณีศึกษาที่ 1
โฮมเนท กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านและองค์กรภาคประชาสังคมด้านสิทธิแรงงานขับเคลื่อนให้พัฒนาพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งมีข้อถกเถียงกันว่า ผู้รับงานไปทำที่บ้านเป็นลูกจ้างหรือไม่ เพราะทำงานที่บ้านของตนเอง นายจ้างหรือผู้จ้างงานมิได้ควบคุมบังคับบัญชา รวมทั้งมิได้ลงโทษด้วย
กระทรวงแรงงานเห็นว่า หากจะออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน กฎหมายจะบังคับใช้ได้เฉพาะกรณีผู้จ้างงานในงานที่รับไปทำที่บ้านต้องเป็นผู้ส่งเครื่องมือ อุปกรณ์หรือเครื่องจักร หรือวัตถุดิบให้ผู้รับงานฯ เพื่อจะตีความว่ามีลักษณะเป็นนายจ้าง ในขณะที่ในความเป็นจริงการรับงานไปทำที่บ้านมีทั้งกรณีผู้จ้างงานส่งสิ่งดังกล่าวไปให้ผู้รับงานฯ และกรณีผู้รับงาน ฯ จัดหาสิ่งดังกล่าวเอง กฎกระทรวงฯ จึงไม่สามารถครอบคลุมกรณีที่ผู้รับงานฯจัดหาสิ่งดังกล่าวเองได้ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีความเห็นในทำนองนั้น จนในที่สุดองค์กรที่ขับเคลื่อนสิทธิของผู้รับงานไปทำที่บ้านจึงตัดสินใจขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ….นั่นคือสถานการณ์ช่วงที่โฮมเนทและภาคประชาชนขับเคลื่อนกฎหมายเกี่ยวกับผู้รับงานไปทำที่บ้านในช่วงปี 2542-ปี 2545 ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ผ่านและประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553
กรณีศึกษาที่ 2
ภายหลังสถานการณ์โควิด- 19 (ปี 2564) การจ้างงานไรเดอร์ในระบบแพลตฟอร์มเติบโตขยายตัวมาก มีสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม และกลุ่มสหภาพแรงงานไรเดอร์ ได้เคลื่อนไหวเพื่อให้มีกฎหมายคุ้มครองไรเดอร์ทำนองเดียวกับที่กฎหมายให้การคุ้มครองลูกจ้าง ปรากฏว่ามีอุปสรรคทำนองเดียวกับเรื่องผู้รับงานไปทำที่บ้าน หลายองค์กรที่เคลื่อนไหวสิทธิของไรเดอร์ ต้องการให้แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยขยายความหมายให้ครอบคลุมถึงไรเดอร์ ในขณะที่กระทรวงแรงงานและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ออกแบบกฎหมายในรูปแบบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ พ.ศ. …. โดยจัดให้งานบริการขนส่งสินค้าและอาหารหรือไรเดอร์ทั้งในระบบแพลตฟอร์มและมิใช่แพลตฟอร์ม เป็นประเภทแรงงานกึ่งอิสระ โดยได้รับการคุ้มครองบางอย่าง เช่น ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่ให้พิจารณาถึงระยะเวลาและความยากง่ายในการทำงาน หากแพลตฟอร์มผิดนัดไม่จ่ายค่าตอบแทนต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละสามต่อปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตามทั้งองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มสหภาพแรงงาน และสหภาพไรเดอร์หรือกลุ่มไรเดอร์ที่ขับเคลื่อนสิทธิของไรเดอร์ยังไม่พึงพอใจและไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายของรัฐบาลดังกล่าว ด้วยเห็นว่า ยังไม่มีการคุ้มครองไรเดอร์ที่ชัดเจนเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับการคุ้มครองลูกจ้างในระบบอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้ไรเดอร์เป็นแรงงานกึ่งอิสระ ในขณะที่ไรเดอร์ส่วนใหญ่เห็นว่าเขาทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างถูกควบคุมและถูกลงโทษโดยผู้จ้างหรือแพลตฟอร์ม จึงควรได้รับการคุ้มครองทำนองเดียวกับลูกจ้าง
ในขณะที่ความเป็นจริงของการจ้างงานไรเดอร์ เริ่มมีรูปแบบการจ้างหรือการทำงานเปลี่ยนไป เช่น ฝั่งผู้จ้างงานมีทั้งเจ้าของแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์หรืองานขนส่งสินค้า โดยในการจ้างไรเดอร์ให้ทำงานเป็นสัญญาระหว่างธุรกิจขนส่งสินค้ากับไรเดอร์ และมีเจ้าของแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นสื่อกลางให้เกิดการทำงานและมีเงื่อนไขหรือข้อกำหนดในการไช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม ไรเดอร์ประกอบด้วยคนทำงานที่ยังเป็นลูกจ้างทำงานในบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการแต่ทำงานไรเดอร์เป็นงานเสริมหรือหลังจากเลิกงานประจำหรือในวันหยุด และไรเดอร์ที่ทำงานขนส่งสินค้าเป็นงานประจำอย่างเดียว จึงเกิดสภาพลูกจ้างหนึ่งคนทำงานกับนายจ้างหรือผู้จ้างงานหลายราย ซึ่งกฎหมายแรงงานที่ใช้อยู่มิได้รองรับรูปแบบการจ้างงานหรือการทำงานแบบใหม่ดังกล่าว
กรณีศึกษาที่ 3
กรณีการจ้างงานในหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในงานธุรการโรงเรียน ซึ่งแต่เดิมทำสัญญาจ้างแบบลูกจ้างชั่วคราวและได้รับสิทธิประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตั้งแต่ปี 2552 ต่อมาในปี 2568 มีการเปลี่ยนจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นสัญญาจ้างเหมาบริการ ส่งผลให้แรงงานในส่วนนี้ประมาณ 20,000 คนทั่วประเทศไม่ได้รับสิทธิประกันสังคมมาตรา 33 ไม่ได้ขึ้นเงินเดือนประจำปี ไม่มีสิทธิลาป่วย และลาพักผ่อนประจำปีโดยได้รับค่าจ้าง คนที่ทำงานในสามจังหวัดภาคใต้ถูกตัดเงินเสี่ยงภัย และการทำงานตามสัญญาจ้างเหมาบริการดังกล่าว คนทำงานไม่สามารถนำไปประกอบการทำธุรกรรมการเงิน เช่น การกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหรือรถยนต์ การค้ำประกัน ต้องไปกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ในขณะที่ความเป็นจริงบุคคลดังกล่าวต้องทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้าง คือต้องทำงานภายใต้การสั่งการ การควบคุมบังคับบัญชาและการลงโทษ ประการสำคัญภาระงานที่สั่งหรือกำหนดให้ทำมิใช่ลักษณะของงานจ้างเหมาหรือจ้างทำของที่เน้นผลสำเร็จของงาน หรืองานที่มีการเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่ชัดเจน ที่แท้เป็นงานที่ทำตามคำสั่งและไม่มีวันจบสิ้น ในขณะที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกฎหมายด้านแรงงานฉบับต่าง ๆ กลับมีมาตราต่าง ๆ ไม่ให้ใช้กับหน่วยงานภาครัฐ ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทบทวนในระดับนโยบาย (สมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย ได้นำปัญหาดังกล่าวร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568)
ข้อพิจารณาก็คือ หน่วยงานของรัฐควรเป็นแบบอย่างในการจ้างงานที่ส่งเสริมหลักการงานที่มีคุณค่า ให้การคุ้มครองหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน คุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงาน และมีประกันสังคมตามหลักการและมาตรฐานแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ รัฐบาลไม่ควรอ้างข้อจำกัดด้านงบประมาณและทำการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมหรือขัดกับหลักการในการคุ้มครองแรงงาน จึงเป็นภาระของรัฐบาลว่าจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายด้านแรงงานฉบับใด เพื่อให้คนทำงานดังกล่าวได้รับการคุ้มครอง
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและบทเรียนจากกรณีศึกษาดังกล่าว เห็นว่า ข้อติดขัดในการจัดทำหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานหรือคุ้มครองคนทำงานอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานและกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยให้การรับรองแล้ว น่าจะอยู่ที่หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่โดยตรงในการคิดค้นและจัดทำกฎหมายเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานตามหลักการข้างต้น และที่ขาดไม่ได้ก็คือหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบด้านการพัฒนานโยบายและกฎหมายที่ควรต้องเร่งมือกว่าที่เป็นอยู่และทำอยู่นะครับ เพื่อสร้างกฎหมายด้านแรงงานเพื่อคุ้มครองดูแลคนทำงานทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีความสัมพันธ์ในทางกฎหมายในการจ้างงานหรือการทำงานเป็นแบบใด ที่ควรพิจารณาดำเนินการก็คือการบูรณาการกฎหมายด้านแรงงานอย่างน้อยสี่ฉบับคือ (1)พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (2)พระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 (3) พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และ(4) พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เพื่อขยายการคุ้มครองให้ครอบคลุมคนทำงานที่เป็นนายจ้างกับลูกจ้างและการจ้างงานที่มีคู่สัญญาในการจ้างหรือการมอบหมายให้ทำงานให้เพื่อรับค่าตอบแทนหรือค่าจ้าง เช่น ตามสัญญาจ้างทำของหรือสัญญาอื่นใด โดยให้การคุ้มครองแรงงานเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ได้กล่าวถึงครับ /
@@@@@@@@@