ขยายอายุการทำงานและฐานค่าจ้าง กับ อนาคตบำนาญผู้ประกันตน ?
โดย บัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ
กล่าวนำ
“ปัจจุบันกว่า 94% ของประเทศทั่วโลก กำหนดอายุรับบำนาญขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 60 ปี ส่วนประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ได้กำหนดอายุเกษียณอยู่ระหว่าง 60-67 ปี ซึ่งความแตกต่างของอายุเกษียณระหว่างประเทศสมาชิกมีแนวโน้มลดลง การปรับเพิ่มอายุเกษียณของประเทศเหล่านี้มักทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทย อายุเกษียณอยู่ในช่วง 55-60 ปี
ปัจจัยที่มีผลต่อการออมเพื่อให้มีเงินบำนาญเพียงต่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณได้แก่จำนวนปีการทำงาน ฐานค่าจ้าง และอัตราเงินสมทบ ซึ่ง 2 ปัจจัยแรกจะมีผลโดยตรงต่อการคำนวณเงินบำนาญรายเดือนของลูกจ้าง ส่วนอัตราเงินสมทบจะมีผลต่อการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ในอนาคต
เนื่องจากการจัดเก็บเงินสมทบกรณีชราภาพเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ดังนั้นในช่วงปี 2542-2556 ผู้ประกันตนที่เกษียณอายุยังไม่สามารถรับเงินบำนาญได้ เนื่องจากระยะเวลาจ่ายเงินสมทบไม่ครบ 15 ปีที่กฎหมายกำหนด จึงได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพเป็นบำเหน็จตามจำนวนสมทบที่จ่ายเข้ากองทุนพร้อมดอกผล
สำนักงานประกันสังคม เริ่มดำเนินการจ่ายบำนาญครั้งแรกในปี 2557 จำนวนเงินบำนาญที่ผู้ประกันตนได้รับในช่วงแรกระหว่าง 2,000-3,000 บาทต่อเดือนต่อคน เนื่องจากมีระยะเวลาการออมเงินได้เพียงขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดสำหรับผู้ประกันตนที่อายุครบ 55 ปี ได้สิทธิรับสิทธิบำนาญ แต่ยังคงทำงานต่อ จะมีจำนวนปีการทำงานเพื่อนำส่งเงินสมทบได้มากขึ้น ส่งผลให้จำนวนปีการส่งเงินสมทบ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการคำนวณเงินบำนาญเพิ่มขึ้น และเงินบำนาญที่จะได้รับก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
การขยายอายุการทำงานจาก 55 ปีเป็น 60 ปีเพื่อสิทธิการรับบำนาญอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ผู้ประกันตนมีระยะเวลาการทำงานนานขึ้น มีระยะเวลาการออมเงินมากขึ้น ส่งผลให้เมื่อเกษียณอายุออกจากงาน ย่อมมีสิทธิได้รับเงินบำนาญสูงขึ้น
อีกทั้งเป็นการขยายโอกาสการทำงานของผู้สูงอายุ สนับสนุนให้มีการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกันตนที่สูงอายุสามารถพึ่งตนเองได้ ตลอดจนเป็นการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทยได้ทางหนึ่ง”*
ข้อสังเกต คือ อายุ 55 ปีตามกฎหมายประกันสังคม คือ อายุเริ่มเกิดสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพของลูกจ้างภาคเอกชนไม่ใช่อายุเกษียณ เพราะลูกจ้างไม่ต้องแสดงเจตนารับบำเหน็จ หรือบำนาญ เมื่ออายุครบ 55 ปีแล้วถ้านายจ้างยังให้ทำงานและจ่ายค่าจ้างต่อไป
นายจ้างภาคเอกชนจำนวนมาก กำหนดอายุเกษียณของลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่เกิน 55 ปี หรืออาจไม่กำหนดเกษียณอายุของลูกจ้างไว้ เพื่อให้ลูกจ้างทำงานต่อไปเรื่อยๆ ถ้าใครทำไม่ไหวก็ลาออกไปเอง เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชย ขณะที่บางประเภทลักษณะงานและปัญหาสุขภาวะสะสมของลูกจ้าง บางรายอาจไม่พร้อมหรือไม่ต้องการทำงานต่อเนื่องจนถึง หรือเกินอายุ 55 ปี?
เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2560 นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.)เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล) ได้สั่งให้สปส.แก้ไขกฎหมายประกันสังคมขยายเวลาการรับเงินชราภาพ (บำเหน็จ หรือ บำนาญ) ของผู้ประกันตนจาก 55 ปีเป็น 60 ปี เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตและรองรับสังคมสูงอายุ ขณะนี้ได้ดำเนินการศึกษารูปแบบความเป็นไปได้เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีในอนาคต โดยจะมีการจัดประชาพิจารณ์ร่างกฎหมายเพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกันตน ซึ่งในระยะแรกอาจให้ผู้ประกันตนที่มีอายุใกล้ 55 ปีเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญได้
สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป ที่ได้เพิ่มเติม มาตรา118/1 สรุปความว่า
- การเกษียณอายุตามที่นายจ้างกำหนดไว้ หรือนายจ้างกับลูกจ้างตกลงกันไว้ ถือว่าเป็นการเลิกจ้างด้วย
- กรณีนายจ้างมิได้กำหนดอายุเกษียณไว้ หรือนายจ้างกับลูกจ้างไม่ได้ตกลงไว้หรือกำหนดอายุเกษียณเกิน 60 ปี ให้ลูกจ้างที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสิทธิแสดงเจตนาเกษียณอายุต่อนายจ้างและมีผลเมื่อครบ 30 วันนับแต่วันแสดงเจตนา โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุนั้นตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
เมื่อมีข่าวจะแก้ไขกฎหมายประกันสังคมขยายอายุ 55 ปีรับประโยชน์ทดแทนชราภาพเป็น 60 ปี ทำให้ลูกจ้างจำนวนมากไม่พอใจ เพราะจะกระทบสิทธิผู้ประกันตนจำนวนมากที่รอคอยรับบำเหน็จ หรือ บำนาญเพราะมีอายุใกล้ครบ 55 ปี โดยคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) จัดแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2560 ขณะที่เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) หารือกับปลัดกระทรวงแรงงาน (ม.ล.ปุณฑริก สมิติ) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 และกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ทำหนังสือคัดค้านผ่านประกันสังคมจังหวัดปทุมธานีเมื่อ 12 กรกฎาคม 2560
สรุปเหตุผล คัดค้านการขยายอายุรับเงินชราภาพจาก 55 ปีเป็น 60 ปี ดังนี้
- ถือเป็นการลิดรอนสิทธิผู้ประกันตนที่รู้มาตั้งแต่วันเข้าสู่ระบบประกันสังคมว่าต้องได้รับเงินชราภาพเมื่ออายุครบ 55 ปี ส่วนจะทำงานต่อไปถึงอาย 60 ปีหรือไม่ ควรเป็นเรื่องนายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน หรือ แก้กฎหมายให้เกษียณอายุ 60 ปี
- สปส.ขาดวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการ และขาดการวางแผนที่ดี เพราะย่อมรู้มานานว่า รายรับรายจ่ายกรณีชราภาพจะเป็นอย่างไร
- ควรปฏิรูปโครงสร้างบริหารประกันสังคมให้เป็นองค์กรอิสระ และแก้ไขกฎหมายประกันสังคมให้รัฐบาลจ่ายสมทบเท่ากับนายจ้างและลูกจ้าง เร่งให้รัฐบาลชำระเงินสมทบที่ค้างจ่ายให้ครบและปรับขึ้นฐานค่าจ้างต่ำสุด และสูงสุดในการคำนวณเงินสมทบ
ค้านสปส.เก็บเงินสมทบเพิ่ม กับความเข้าใจที่สวนทาง?
เมื่อตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม(สปส.)ได้แถลงข่าวว่าเตรียมจะขยายฐานค่าจ้างผู้ประกันตนจาก 15,000 บาทเป็น 20,000 บาท/เดือน ทำให้ต้องจ่ายเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท/เดือน จากเดิมไม่เกิน 750 บาท/เดือน เกิดกระแสการคัดค้านจากองค์การแรงงานนำไปสู่นายกรัฐมนตรีต้องออกมาปรามว่า “จะยังไม่มีการเก็บเงินประกันสังคมเพิ่ม เพราะต้องทำความเข้าใจก่อน”
ท่าทีของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) และเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน(คปค.) สรุปได้ว่า
1.การเพิ่มเงินสมทบไม่ใช่ทางออก เป็นการผลักภาระให้ผู้ประกันตนและนายจ้าง
2.ปัญหาหลัก คือ รัฐบาลไม่ได้จ่ายเงินสมทบร้อยละ 5 เหมือนผู้ประกันตนและนายจ้าง แต่จ่ายเพียงร้อยละ 2.75 และรัฐบาลยังค้างจ่ายเงินสมทบสะสมรวมกว่า 5 หมื่นกว่าล้านบาท
3.สปส.ต้องมีหลักการปฏิรูปอย่างแท้จริง ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาภาพรวมอย่างแท้จริง
4.รัฐบาลควรดำเนินการให้มีการเลือกตั้งกรรมการประกันสังคม เพราะคณะกรรมการประกันสังคมชุดที่แต่งตั้งโดยมาตรา44 หมดวาระลงในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ถ้าจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกตามพ.ร.บ.ประกันสังคม(ฉบับที่ 4) พ. ศ. 2558 ให้ได้ผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนและนายจ้าง จะยึดโยงผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงให้มีส่วนร่วมตรวจสอบ กำหนดนโยบายการบริหารประกันสังคมตามความต้องการของสมาชิกกองทุนได้ชัดเจน
นายแพทย์สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสปส.และ น.ส.อำพันธ์ ธุรวิทย์ โฆษกสปส.ได้ชี้แจงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสปส.จะขยายเพดานฐานค่าจ้างเพิ่มเงินสมทบสรุปได้ว่า
1.การเพิ่มเงินสมทบ มาจากการรับฟังความคิดเห็น จำนวน 5 ครั้ง เมื่อปี2559 พบว่าผู้ประกันตนร้อยละ 81 เห็นด้วยกับการเพิ่มการจ่ายเงินสมทบจากการคิดฐานเงินเดือนใหม่จาก 15,000 บาทต่อเดือนเป็น 20,000 บาทต่อเดือน และอีกร้อยละ 77 แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซค์สำนักงานประกันสังคมเห็นด้วยเช่นกัน ขณะที่นายจ้างส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ (มติชน,23 ต.ค.60:น.9)
2.รัฐบาลและกระทรวงแรงงาน คำนึงถึงความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ ของผู้ประกันตนเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพิ่มฐานค่าจ้างเก็บเงินสมทบเพิ่มเพราะกองทุนประกันสังคมไม่มั่นคง กำลังถังแตก แต่กองทุนยังมีความมั่นคงเห็นได้จากมีผลตอบแทนจากการลงทุนจำนวน 41,306 ล้านบาท สถานะกองทุน 30 กันยายน 2560 มีเงินลงทุนรวมถึง 1.7 ล้านล้านบาท ไม่มีปัญหาการเงินอย่างที่บางกลุ่มเข้าใจ
3.เจตนารมณ์ที่เก็บเงินสมทบเพิ่มนั้น เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนที่เห็นชัดเจน คือ เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ปัจจุบันจะรับที่ร้อยละ 50 ของฐานเงินเดือนสมทบสูงสุดคือ 15,000 บาทจะได้เพียง 7,500 บาทตลอดชีวิต แต่เมื่อปรับเพิ่มฐานเงินเดือนเป็น 20,000 บาท จะได้เงินสมทบ 10,000 บาทตลอดชีวิต,กรณีชราภาพ ก็จะได้รับเพิ่มขึ้นจากการเก็บเงินสมทบ ลองคิดว่ารับเงินบำนาญชราภาพ 5 ปีภายหลังเกษียณก็คุ้มกับที่ส่งเงินเข้ามาแล้ว
4.ยืนยันว่า กรณีรัฐบาลติดหนี้จ่ายเงินสมทบให้สปส.นั้น เป็นการติดหนี้ต่อเนื่องมาหลายปีของหลายรัฐบาลที่ผ่านมา แต่นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2560 นั้น รัฐบาลปัจจุบันไม่เคยค้างจ่ายเงินสมทบของใหม่เลย แต่ได้ทยอยชดใช้หนี้เดิมไปด้วย
ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายนพ. ศ. 2560 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพลเผยผลสำรวจเรื่อง “ข้อเสนอการเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมแบบใหม่” ซึ่งสำรวจความคิดเห็นผู้ประกันตนจำนวน 1,251 ตัวอย่างในวันที่ 3-4 พฤศจิกายนพบว่า เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวนร้อยละ 60.83 , มาตรา 40 จำนวนร้อยละ 21.4 2 และมาตรา 39 ร้อยละ 17.75 โดยมีร้อยละ 50.84 ระบุว่ารับรู้เกี่ยวกับการเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินประกันสังคมแบบเหมาจ่ายของสปส. และร้อยละ 49.16 ตอบว่า ไม่เคยรู้เรื่องดังกล่าว โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57 ตอบว่าไม่เห็นด้วยที่จะเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามฐานเงินเดือน เพราะไม่อยากจ่ายเพิ่ม
▪เป็นเรื่องปกติ ผู้ตอบจำนวนมากไม่เห็นด้วยการจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามฐานเงินเดือนถ้าไม่เข้าใจสาเหตุและผลประโยชน์ที่จะได้เพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร? ทั้งที่ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนไม่ได้จ่ายเงินสมทบเพิ่ม คงเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยค่าครองชีพฝืดเคืองเพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ผู้ประกันตนจำนวนมากที่มีรายได้น้อย ไม่ต้องการจ่ายเงินสมทบเพิ่ม
กรณีชราภาพ ตามกฎหมายประกันสังคม
นายจ้าง และผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบฝ่ายละ 3% ของค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท กรณีผู้ประกันตนม.33 และฐานค่าจ้าง 4,800 บาทอัตราเดียวสำหรับผู้ประกันตน ม.39 โดยมีเงื่อนไขการเกิดสิทธิ คือ อายุครบ 55 ปีและความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง (เช่น ถูกเลิกจ้าง,ลาออกหรือเกษียณอายุ)
ยกเว้นผู้ประกันตนอายุไม่ครบ 55 ปี จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จเมื่อมีคำวินิจฉัยให้เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 55 ปี
สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ แบ่งเป็น
(1) เงินบำเหน็จ (เงินก้อนครั้งเดียว)
1.1 ส่งเงินสมทบไม่ครบ 12 เดือน –ได้รับเงินบำเหน็จในส่วนที่ผู้ประกันตนนำส่งเงินสมทบ
1.2 ส่งเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป –ได้เงินบำเหน็จในส่วนเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนรวมผลประโยชน์ตอบแทนตามอัตราที่สำนักงานกำหนดแต่ละปี
1.3 ทายาทได้รับเงินบำเหน็จสิบเท่าของจำนวนเงินบำนาญชราภาพ ที่ผู้ประกันตนได้รับคราวสุดท้ายก่อนตาย – เมื่อผู้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 60 เดือนนับแต่เดือนมีสิทธิได้รับเงินบำนาญ
1.4 ผู้ประกันตนที่ไม่มีสัญชาติไทย – มีสิทธิได้รับบำเหน็จ ไม่ว่าจะมีอายุครบ 55 ปีหรือไม่ โดยต้องแสดงความประสงค์จะไม่พำนักในประเทศไทยและต้องเป็นผู้ประกันตนที่มีสัญชาติของประเทศที่ได้ทำความตกลงด้านการประกันสังคมกรณีชราภาพกับประเทศไทย
(2) เงินบำนาญ (เงินเลี้ยงชีพรายเดือน) กรณีส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ โดยไม่มีสิทธิเลือกรับบำเหน็จ เพราะเจตนารมณ์กฎหมายมุ่งคุ้มครองหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุภายหลังเกษียณหรือพ้นวัยทำงานไปตลอดชีวิตโดยไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว
จำนวนเงินบำนาญ=ร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายก่อนความเป็นประกันตนสิ้นสุดลง เช่น ผู้ประกันตนมีค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 15,000 บาท ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน จะได้รับบำนาญเท่ากับ 15,000×20%=3,000 บาท/เดือน (เพิ่มอีก 1.5 % ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน)
ความสัมพันธ์กับสิทธิประโยชน์อื่น
(1) ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับเงินบำนาญชราภาพ ยังมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเหมือนประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
(2) ผู้ประกันตนที่รับเงินบำนาญชราภาพ จะได้รับการคุ้มครองการรักษาพยาบาลกรณีประสบอันตราย จากประกันสังคมต่อไปอีก 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน หลังจากนั้นต้องไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
“ต้นปี 2557 เป็นปีแรกที่เริ่มจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพแก่ผู้ประกันตนที่มีอายุเกินอายุ 55 ปี ซึ่งสปส.ประมาณการว่าจะมีผู้ประกันตนมาขอรับทั้งบำเหน็จบำนาญกว่า 1 แสน 3 หมื่นคน ต้องจ่ายเงินกองทุนออกไปกว่า 4.7 พันล้านบาทและภายในปี 2587 หรือ 30 ปี ข้างหน้า กองทุนชราภาพจะอยู่ในภาวะติดลบ เพราะ เก็บเงินสมทบจากผู้ประกันตนและนายนายจ้างเพียงฝ่ายละ 3% ของค่าจ้าง จะไม่สมดุลกับอัตราที่ต้องจ่ายออก 20 % ของค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้าย และกองทุนชราภาพเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็นประมาณ 90% ของกองทุนประกันสังคมด้วย อาจทำให้กองทุนขาดเสถียรภาพ
คณะทำงานศึกษากำหนดรูปแบบจำลองการพัฒนาบำนาญชราภาพในระบบประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมเปิดเผยผลการศึกษาเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเป็น 6 ทาง” (มติชน,9 มิถุนายน 2557,น.10) สรุปได้ดังนี้
(1) ปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบกรณีชราภาพในส่วนผู้ประกันตนร้อยละ 1 และนายจ้างร้อยละ 0.5 ทุกๆ 3 ปี โดยเพิ่มอัตราเงินสมทบอย่างค่อยเป็นค่อยไป กระทั่งอัตราเงินสมทบกรณีชราภาพในส่วนผู้ประกันตนอยู่ที่ร้อยละ 13 และในส่วนนายจ้างอยู่ที่ร้อยละ 8 รวมอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนชราภาพเท่ากับร้อยละ 21 หลังจากนั้นกำหนดให้อัตราเงินสมทบคงที่ จะช่วยยืดอายุของกองทุนไปได้อีก 46 ปี
(2) เพิ่มอายุผู้ที่มีสิทธิรับบำนาญ 2 ปีทุก 4 ปี จนอายุเกษียณอยู่ที่ 62 ปี อาจใช้ปีเกิดเป็นเกณฑ์ เช่น ผู้ที่เกิดปี 2510 เป็นต้นไป จะมีสิทธิรับบำนาญเมื่ออายุ 62 ปี หรืออาจกำหนดปีที่จะปรับเพิ่มอายุเกษียณ เช่น ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป อายุเกษียณจะปรับเพิ่มปีละ 6 เดือน โดยอัตราเงินสมทบคงที่ทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างอยู่ที่ร้อยละ 3 ยืดอายุกองทุนได้ 37 ปี
(3) เพิ่มระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบก่อนเกิดสิทธิรับบำนาญจาก 15 ปี เป็น 20 ปี โดยอัตราเงินสมทบเป็นอัตราที่ใช้อยู่ในปัจจุบันและอายุเกษียณอยู่ที่ 55 ปี ยืดอายุกองทุนได้ 33 ปี
(4) ปรับการคำนวณค่าจ้างเฉลี่ยจากฐาน 60 เดือนสุดท้ายของเงินเดือนเป็นตลอดช่วงการจ่ายเงินสมทบเพื่อใช้คำนวณเงินบำนาญ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าจ้างเฉลี่ยตลอดชีวิตต่ำกว่าค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายอยู่ที่ร้อยละ 19 และค่าใช้จ่ายด้านเงินบำนาญของกองทุนประกันสังคมลดลงร้อยละ 19 เช่นกัน ยืดอายุกองทุนได้ 32 ปี
(5) มาตรการผสมโดยใช้ทางเลือกที่ 1 บวก 3 ยืดอายุกองทุนได้ 58 ปี และ
(6) มาตรการผสมโดยใช้ทางเลือก 1+2+3+4 พร้อมกัน ซึ่งจะทำให้กองทุนประกันสังคมมีเสถียรภาพนานไปถึงปี 2629 หรืออีก 72 ปีข้างหน้า
ข้อเสนอแนวทางปฏิรูประบบบำนาญกองทุนประกันสังคม ที่ศึกษาโดยนักวิชาการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการประกันสังคม ได้เสนอต่อที่ประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะปฏิรูประบบบำนาญประกันสังคมในช่วงปลายปี2560 สรุปได้ดังนี้
(1) ขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญชราภาพ มีข้อพิจารณา 4 แนวทาง คือ
แนวทาง 1 คงอายุรับบำนาญชราภาพไว้ที่ 55 ปี เงื่อนไขและสิทธิแระโยชน์เงินบำนาญแบบเดิม
แนวทาง 2 ขนายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญตามหลักสากล และมีสิทธิได้รับบำเหน็จชดเชย หากไม่สามารถทำงานจนถึงอายุที่มีสิทธิรับบำนาญได้
แนวทาง 3 ขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญตามหลักสากล และสามารถเลือกรับบำเหน็จไปส่วนหนึ่งก่อนครบอายุรับบำนาญ แต่เมื่อครบอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ จะได้รับบำนาญในจำนวนที่ลดลง
แนวทาง 4 ขยายอายุรับบำนาญขั้นต่ำเฉพาะผู้ประกันตนรายใหม่ ภายหลังการแก้ไพระราชบัญญัติประกันสังคมประกาศใช้ สำหรับผู้ประกันตนปัจจุบัน สามารถเลือกรับบำเหน็จไปส่วนหนึ่งก่อนครบอายุรับบำนาญ
แต่เมื่อครบอายุเกิดสิทธิรับบำนาญจะได้รับบำนาญในจำนวนที่ลดลง และสามารถเลือกรับประกันสุขภาพต่อเนื่อง โดยยอมให้หักเงินบำนาญที่ได้รับทุกเดือน
(2) เพิ่มสิทธิประโยชน์การประกันสุขภาพต่อเนื่องแก่ผู้รับบำนาญ โดยผู้รับบำนาญที่เลือกรับการประกันสุขภาพต่อเนื่องหลังออกจากการเป็นผู้ประกันตน จะยอมให้หักบำนาญส่วนหนึ่งเป็นเบี้ยประกันสุขภาพ
(3) การปรับสูตรค่าจ้างเฉลี่ยในการคำนวณบำนาญชราภาพ
ปรับสูตรคำนวณบำนาญจากค่าจ้างเฉลี่ย 60 สุดท้าย (5 ปี) เป็นค่าจ้างเฉลี่ยตลอดระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ โดยค่าจ้างเฉลี่ยแต่ละเดือนจะปรับให้เป็นมูลค่าปัจจุบันก่อนนำมาเฉลี่ย เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกันตนที่มีลักษณะค่าจ้างที่แตกต่างกัน และช่วยให้ผู้ประกันตน ส่วนใหญ่ได้บำนาญเพิ่มขึ้น เช่น ค่าจ้างเมื่อ 15 ปีที่แล้วอาจเป็นเงินเพียง 7,000 บาท แต่เมื่อปรับเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้ว อาจมีค่าสูงถึง 12,000 บาท
นายอารักษ์ พรหมณี อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิระบบบำนาญ กล่าวในการประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่อง “ปฏิรูประบบบำนาญประกันสังคม” ครั้งสุดท้ายประจำปี 2560 ที่อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทอธานีว่า “การแก้กฎหมายประกันสังคมครั้งนี้ สปส.ควรมีระบบรองรับที่เรียกว่าการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวหรือที่มีภาวะพึ่งพิง การขยายอายุจาก 55 ปีเป็น 60 ปี อาจต้องมีเงื่อนไข เพราะบางอาชีพอาจไม่เหมาะสม ควรกำหนดหรือไม่ว่า หากอายุ 55 ปีจะได้สิทธิอะไร และหากอยู่ต่อจะมีเงื่อนไขอะไรจูงใจหรือไม่ ส่วนการเก็บอัตราเงินสมทบ จะสามารถเปิดกว้างได้หรือไม่ เช่นจ่ายเพิ่มโดยไม่ต้องมีจำนวนเพดานมาจำกัด เป็นต้น” (มติชน,29 พ.ย.60 ,น.7)
สัดส่วนอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม กรณีผู้ประกันตน มาตรา 33
กรณี | นายจ้าง | ลูกจ้าง | รัฐบาล | รวม |
1.เจ็บป่วย หรือประสบอันตราย | 1.06 | 1.06 | 1.06 | 3.18 |
2.คลอดบุตร | 0.23 | 0.23 | 0.23 | 0.69 |
3.ทุพพลภาพ | 0.13 | 0.13 | 0.13 | 0.39 |
4.ตาย | 0.08 | 0.08 | 0.08 | 0.24 |
รวม 4 กรณี | 1.5 | 1.5 | 1.5 | 4.5 |
5.สงเคราะห์บุตร | – | – | 1 | 1 |
6.ชราภาพ | 3 | 3 | – | 6 |
7.ว่างงาน | 0.5 | 0.5 | 0.25 | 1’25 |
รวม 7 กรณี | 5 | 5 | 2.75 | 12.75 |
หมายเหตุ ▪ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 คณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบปรับสัดส่วนอัตราเงินสมทบ 4 กรณีที่จ่ายฝ่ายละ ร้อยละ 1.5 เป็นอัตราใหม่ คือ
กรณีเจ็บป่วย จากเดิม 0.88 เป็น 1.06
กรณีคลอดบุตร จากเดิม 0.12 เป็น 0.23
กรณีตาย จากเดิม 0.06 เป็น 0.08
กรณีทุพพลภาพ จากเดิม 0.44 เป็น 0.13
▪ พระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นไปได้ตัดความว่า “ฝ่ายละเท่ากัน” ในมาตรา 46 วรรคสอง เพื่อรัฐบาลจ่ายเงินสมทบไม่เท่ากับฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตนได้ โดยแต่ละฝ่าย ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพและกรณีว่างงาน ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ต้องไม่เกินอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัตินี้ โดยท้ายพระราชบัญญัติประกันสังคม กำหนดอัตราเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ไม่เกินฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และเงินสมทบกรณีว่างงานไม่เกินฝ่ายละร้อยละ 5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน
สำนักงานประกันสังคม ได้เคยชี้แจงเหตุผลที่รัฐบาลไม่จ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพ สรุปได้ดังนี้
(1) เพราะผู้ประกันตนมีนายจ้างจ่ายเงินสมทบช่วยอยู่แล้ว และกฎหมายประกันสังคมไม่ได้กำหนดให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพเท่ากับนายจ้างกับผู้ประกันตน
(2) เพราะพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 24 กำหนดให้กรณีเงินกองทุนประกันสังคมไม่พอจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีใดให้รัฐบาล จ่ายเงินอุดหนุนได้ตามความจำเป็น
(3) เพราะผลสำรวจประกันสังคมกรณีชราภาพของประเทศต่างๆ ไม่กำหนดให้รัฐบาลมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพตลอดไป เพราะรัฐบาลรับภาระ ค่าใช้จ่ายงบประมาณบริหารสำนักงานและบุคลากรเกี่ยวกับประกันสังคมแล้ว
มีข้อเสนอให้ปรับปรุงประกันสังคมกรณีชราภาพจากฝ่ายแรงงานหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาตอบสนองจากกระทรวงแรงงานและรัฐบาล เช่น ให้ผู้รับบำเหน็จหรือบำนาญมีสิทธิใช้สถานพยาบาลในโครงการประกันสังคมเหมือนเดิมต่อไปได้, ปรับฐานค่าจ้างของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้มากกว่า 15,000 บาท/เดือน และมาตรา 39 ให้มากกว่า 4,800 บาท/เดือน เพราะแช่แข็งมานานกว่า 20 ปีแล้ว หรือให้ผู้ประกันตนมีสิทธิจ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพตามฐานเงินเดือนจริง,รัฐบาลควรจ่ายเงินสมทบประกันสังคม หรือเงินอุดหนุนกรณีชราภาพ เช่นเดียวกับที่สนับสนุนข้าราชการ,ผู้ประกันตนมาตรา 40 และสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ฯลฯ
ที่สำคัญ คือการปฏิรูปหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุหรือระบบการออมเพื่อการชราภาพที่มีระบบบริหารแบบแยกส่วนเป็นหลายกองทุนตามกลุ่มอาชีพหรือแรงงานในระบบกับนอกระบบให้มีบูรณาการลดเหลื่อมล้ำไปสู่ความครอบคลุมถ้วนหน้าของประชากร ความเพียงพอของรายได้เลี้ยงชีพ และโครงสร้างการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาลยั่งยืน
—————————-
* บางตอนใน “ปฏิรูปบำนาญกองทุนประกันสังคม” หน้า 1-2 เอกสารประกอบการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ การปฏิรูประบบบำนาญประกันสังคม จำนวน 12 ครั้งทั้งในกทม.และภูมิภาคช่วงเดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน 2560)