แถลงการณ์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือตอนล่าง(กป.อพช.นล.) ให้รัฐยุติการปิดกั้นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ปล่อยตัวประชาชนที่ถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมทั้งแสดงความจริงใจในการปกป้องทรัพยากรสิ่งแวดล้อมด้วยการหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ตามที่เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้จัดกิจกรรมเดินด้วยเท้าจากพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 โดยเครือข่ายประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนผ่านแถลงการณ์ฉบับที่1ของเครือข่ายว่า “ เราจะเดินอย่างสันติ ไปพบนายกรัฐมนตรี เพื่อบอกถึงความทุกข์ร้อนของคนเทพา” ซึ่งชัดเจนในแนวทางการวัตถุประสงค์ที่ชอบธรรมในเดินเท้าอย่างสันติทั้งหมด 5 วัน เพื่อบอกกล่าวถึงความห่วงกังวลต่อโครงการพัฒนาที่อาจจะก่อผลกระทบต่อชุมชนในระยะยาว โดยชุมชนมีข้อสะท้อนถึงการกระบวนปิดกั้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าแนวโน้มทิศทางการพัฒนาของทั้งโลกกำลังทยอยยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เป็นพลังงานสกปรก ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งเดินหน้าพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดอย่างแท้จริง ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งตั้งเป้าหมายร่วมกันขั้นพื้นฐานที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ไปลงนามความร่วมมือร่วมกับประชาคมโลก ทั้งนี้การเดินเท้าเพื่อพบนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ทางเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้มีการแจ้งการชุมนุมสาธารณะและขอผ่อนผันตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2560แล้ว โดยมีเป้าประสงค์เพื่อนำข้อเสนอไปยื่นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อำเภอเมืองสงขลา ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เพื่อเป็นการแสดงออกตามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ ถือเป็นสิทธิที่รับรองไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ 27 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของการเดินอย่างสันติเพื่อไปพบนายกรัฐมนตรี ขณะที่เครือข่ายฯ เดินทางถึงบริเวณแยกสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 1 กองร้อยโดยประมาณ ตั้งจุดสกัดขบวนเดินเท้าของเครือข่าย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการสลายขบวนเดินเท้าของเครือข่ายด้วยความรุนแรง ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ส่งผลให้มีชาวบ้านส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ และอีกจำนวนหนึ่งถูกควบคุมตัวไปสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลา และขณะนี้ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือตอนล่างเห็นว่าการเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน” เป็นการเคลื่อนไหวโดยสันติ แต่จากเหตุการณ์ที่มีการปะทะและจับกุมตัวที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รับรองไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อาจก่อเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ในภายหลัง ทั้งนี้การลงพื้นที่สัญจรของคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลควรสร้างบรรทัดฐานใหม่ สร้างการยอมรับของสังคม ในการที่ลงพื้นที่สัญจรสัญจรนั้นให้ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้สะท้อนปัญหาเพื่อการรับฟังอย่างปราศจากอคติ เป็นธรรมและรอบด้านให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
จึงขอเรียกร้องถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้โดยทันที
1. ปล่อยตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัวจากกรณี “เดินอย่างสันติ ไปพบนายกรัฐมนตรี เพื่อบอกถึงความทุกข์ร้อนของคนเทพา” โดยทันที
2. เคารพต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบ เป็นสิทธิที่รับรองไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
3. สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่เกิดขึ้นจริงบนพื้นฐานการเคารพสิทธิชุมชนและการปกป้องทรัพยากรของชาติและยุติการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือปิดกั้นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของประชาชน
4. ทบทวนและยกเลิกโครงการพัฒนาที่ใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตทั้งหมด และเดินหน้าสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
เชื่อมั่นศรัทธาในพลังประชาชน
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือตอนล่าง
27 พฤศจิกายน 2560