ขบวนการแรงงาน ประสานเสียงค้าน ขยายรับสิทธิบำนาญเป็น 60 ปี

คสรท. แถลงข่าว คัดค้าน! การขยายอายุรับเงินชราภาพของผู้ประกันตน เตรียมขยายยื่นข้อเรียกร้องทุกจังหวัด สภาองค์การลูกจ้างฯรับลูกนัดพบปลัดกระทรวงแรงงาน วันที่ 5 ก.ค.นี้

วันที่ 2 กรกฎาคม 2560 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) จัดแถลงข่าว คัดค้าน การขยายอายุรับเงินชราภาพของผู้ประกันตน จากอายุ 55 เป็น 60 ปี

นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคสรท.ได้แถลงว่า การประกันสังคมในประเทศไทยเกิดขึ้นจากการผลักดันของขบวนการแรงงานก่อนปี 2530 ซึ่งผลของการรณรงค์ผลักดันทำให้มีการตราพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 2 กันยายน 2533 จนถึงปัจจุบันมีผู้ประกันตนทั้งระบบประมาณ 13 ล้านคน มีเงินสมทบที่ร่วมกันจ่ายระหว่างลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล(จ่ายน้อย ค้างจ่าย ไม่จ่ายสมทบกรณีชราภาพ)ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท โดยผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนต่างๆในอัตราตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด สำหรับกรณีการรับเงินจากกองทุนชราภาพเงื่อนไขที่กำหนดไว้คือจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (เท่ากับ 15 ปี) ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และ ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมได้พยายามชี้นำสังคม และผู้ประกันตนเสมอมาว่า หากมีการจ่ายเงินจากกองทุนชราภาพให้แก่ผู้ประกันตนโดยไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขในหลักเกณฑ์เสียใหม่ก็จะทำให้เงินทั้งหมดในกองทุนประกันสังคมทุกกองทุน(1.6 ล้านล้านบาท)หมดไปในปี พ.ศ.2587 จึงเป็นที่มาของแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนปัจจุบันพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล โดยการแถลงของเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมนพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ว่า “ให้ความสำคัญกับการสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตที่มั่นคงของแรงงาน ทั้งในช่วงที่อยู่ในระบบแรงงานและเมื่อต้องออกจากระบบแรงงานไปแล้ว จึงมีนโยบายที่จะสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับแรงงานในส่วนของผู้ประกันตน ด้วยการขยายระยะเวลาการรับเงินชราภาพของผู้ประกันตนจากอายุ 55 ปี เป็น 60 ปีและในอนาคตผู้ประกันตนจะสามารถอยู่ในระบบได้จนถึงอายุ 60 ปี ซึ่งเรื่องนี้เป็นแนวคิดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เห็นชอบ และสั่งการให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการศึกษารูปแบบความเป็นไปได้ เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต่อไป”

หลายปีมาแล้วที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)ได้พยายามเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประกันสังคมทั้งระบบเพราะเห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการ รวมทั้งการขาดการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตน โดยเสนอให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ ปฏิรูปโครงสร้าง ปฏิรูปการบริหารจัดการ และการขยายสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนในกองทุนต่างๆ ดังนั้นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเลขาธิการประกันสังคมกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ประกันตน เป็นนโยบายที่คิดกันเองโดยขาดการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนและองค์การของแรงงาน
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)โดยองค์กรสมาชิกได้ประชุมกันและ “มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการขยายอายุการรับสิทธิประโยชน์ชราภาพจากอายุ 55 เป็น 60 ปี” โดยมีเหตุผลดังนี้คือ

1.สิทธิการรับเงินชราภาพเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นและรับรู้กันนับตั้งแต่วันเข้าสู่ระบบประกันสังคม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็นการลิดรอนสิทธิ หากมองในมติแรงงานสัมพันธ์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณ

2.คำกล่าวที่ว่าจะสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับแรงงานในส่วนของผู้ประกันตน ด้วยการขยายระยะเวลาการรับเงินชราภาพของผู้ประกันตนจากอายุ 55 ปี เป็น 60 ปี และในอนาคตผู้ประกันตนจะสามารถอยู่ในระบบได้จนถึงอายุ 60 นั้น เป็นประเด็นที่ต่างกัน คือ เมื่อสิทธิเกิดก็ต้องได้รับเงินชราภาพตามสิทธิเมื่ออายุครบ 55 ปี ส่วนการจะทำงานต่อไปจนอายุ 60 ปี หรือมากกว่านั้นเป็นเรื่องที่นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกัน หรือจะเป็นการแก้กฎหมายให้เกษียณอายุ 60 และให้อยู่ในระบบประกันสังคมต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

3.การกล่าวอ้างว่าหากไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขจะทำให้กองทุนประกันสังคมหมดไปนั้น สะท้อนถึงการไม่มีวิสัยทัศน์ของการบริหารจัดการ ขาดการวางแผนงานที่ดี ซึ่งคนเข้ามาบริหารก็ย่อมทราบดีว่ารายรับ รายจ่ายของระบบประกันสังคมจะเป็นอย่างไรซึ่งควรวิเคราะห์และกำหนดกฎเกณฑ์ตั้งแต่ต้นไม่ใช่มาเปลี่ยนแปลงในตอนนี้

เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์และจุดยืนต่อการปฏิรูประบบประกันสังคมทั้งระบบ ซึ่งได้เคยนำเสนอต่อรัฐบาลและสำนักงานประกันสังคมไปแล้วหลายครั้งและล่าสุดเมื่อ “วันกรรมกรสากล ปี 2560” คือ

1.ให้มีการปฏิรูปประกันสังคมทั้งระบบโดยให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ ปฏิรูปโครงสร้าง ปฏิรูปการบริหารจัดการ โดยให้ผู้ประกันตนมีสิทธิมีส่วนร่วมในการกำหนดและเลือกผู้แทนของตนเอง รวมทั้งขยายสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนในกองทุนต่างๆ โดยเฉพาะชราภาพจากจำนวนเงินที่ได้รับตามหลักเกณฑ์(3,000 บาทต่อเดือน)ไม่พอต่อการดำรงชีพ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำก็กว่า 9,000 บาท

2.ให้แก้ไขกฎหมายประกันสังคมเพื่อให้รัฐจ่ายเงินสมทบประกันสังคมในอัตราส่วนที่เท่ากันกับนายจ้างและลูกจ้าง

3.ให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบที่ค้างจ่ายอยู่ให้เต็มตามจำนวน เพราะการไม่จ่ายทำให้กองทุนประกันสังคมเสียโอกาส ในการนำเงินจำนวนมหาศาลนั้นไปหาประโยชน์เข้ากองทุน

4.ให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าจ้างต่ำสุดและสูงสุดในการคำนวณจำนวนเงินที่จะจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคมรายเดือนเพื่อพัฒนาให้กองทุนโตและมั่นคง ยั่งยืน

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) องค์กรสมาชิกและเครือข่ายผู้ประกันตน จึงขอให้รัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ยุติการดำเนินการขยายการรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนชราภาพจากอายุ 55 เป็น 60 ปี และนำข้อเสนอต่างๆไปพิจารณาโดยให้ผู้ประกันตนและภาคส่วนต่างๆได้มีส่วนร่วมตามหลักธรรมาภิบาล ที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ประกาศเป็นพันธสัญญาต่อสาธารณะ และขอให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกันตนและสื่อมวลชนทั้งหลายร่วมกันตรวจสอบติดตามการบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งร่วมกันผลักดันข้อเสนอให้เป็นจริง เพราะเงินประกันสังคมเป็นเงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงาน จากรายได้จากการขายแรงของพี่น้องแรงงานทุกคน อย่าปล่อยให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลิดรอนสิทธิ กระทำการใดๆไปเพียงลำพังแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ฟังเสียงของผู้ประกันตน และต้องร่วมกันแสดงทัศนะ จุดยืนในโอกาสต่อไป หากการดำเนินการยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่ฟังเสียงของผู้ประกันตน

ล่าสุดทางคสรท.ได้กำหนดขยายผลยื่นข้อเรียกร้องรายจังหวัดอีกด้วย

ด้านนายยงยุทธ์ เม่นตะเภา ประธานสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ โลหะแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกันตน เราก็คาดหวังว่าปีหน้าที่จะมีการเกษียณอายุที่อายุ 55 ปี จะได้ใช้สิทธิกรณีบำนาญชราภาพ จริงแล้วอยากได้เงินบำเหน็จ ซึ่งแต่ละคนได้วางแผนชีวิตไว้แล้วว่าจะหารายได้อย่างไรหลังจากนี้ แต่เมื่อรัฐประกาศจะปรับเพิ่มอายุการรับสิทธิประกันสังคมกรณีบำนาญชราภาพจากอายุ 55 ปี เป็น 60 ปี แต่บริษัทก็เลิกจ้างที่อายุ 55 ปี คำถามคือต้องรออีก 5 ปีถึงได้รับสิทธิบำนาญชราภาพใช่หรือไม่ เพราะบริษัทเราคงไปบังคับเขาให้จ้างงานต่อไม่ได้ จึงคิดว่าไม่เป็นธรรม และต้องเข้าใจว่าเอกชนส่วนใหญ่คนที่ทำงานในสายอุตสาหกรรมโดยตรง อย่างอุตสาหกรรมหนักรถยนต์ใช้เวลา 56-58 วินาทีรถออมาหนึ่งคัน การทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตจึงเป็นการที่หนักมาก ซึ่งต้องแยกสองส่วน คือส่วนออฟฟิต และส่วนของรายการผลิตที่ทำงานหนักคงไม่ไหวแล้ว อย่างตนก็คงไม่ไหวหากต้องทำงานต่อ ซึ่งต้องวางแผนการดำเนินชีวิตต่อแต่ว่าหากมีการขยายเวลารับสิทธิบำนาญออกไปแรงงานที่เกษียณอายุที่ 55 ปีคงแย่

ส่วนนายจิระพัฒน์ คงสุข แรงงานกลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก กล่าวว่า ตอนนี้อายุ 43 ปีแล้ว การที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมหนักอย่างที่เกี่ยวกับเหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมที่หนักมาก และตอนนี้ในอุตสาหกรรมต่างๆก็มีการลดกำลังคนนำเครื่องจักรมาทำงานแทนคน จากเดิมใช้แรงงาน 3-4 คน ตอนนี้ลดเหลือเพียง 1 คนเท่านั้น ยังมีการสั่งให้ทำงานล่วงเวลา(OT)ทุกวัน ต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมงต่อวัน ตอนนี้ส่วนใหญ่แรงงานอายุ 40 ปีขึ้นไป และการเกษียณอายุตามสภาพการจ้างคืออายุ 55 ปีเกษียณ หากต้องทำต่อจนอายุ 60 ปี คงไม่ไหวในส่วนของอุตสาหกรรมหนัก หากรัฐมาแก้กฎหมายขยายการรับสิทธิบำนาญชราภาพเป็นอายุ 60 ปี โดยอ้างเรื่องการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งขนาดแค่อายุ 40 กว่าปีแต่ละคนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำงานถึงอายุ 50 ปีหรือไม่ด้วยซ้ำไป

ทั้งนี้ในส่วนของนายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ได้เขียนผ่านทางเฟซบุ๊คว่า จะขอเข้าพบปลัดกระทรวงแรงงานในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ เรื่องจากไม่เห็นด้วยกับการที่สำนักงานประกันสังคมจะมีการขยายอายุการรับสิทธิบำนาญชราภาพออกไป จากอายุ 55 ปีเป็น 60 ปี

รายงานโดย วาสนา ลำดั